โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
เอเอฟพี - คณะแพทย์อินเดียเผยวันพุธ(22) ประสบความสำเร็จในการทำศัลยกรรมเสริมสร้างกะโหลกศีรษะของทารกเพศหญิงวัย 15 เดือน ราวหนึ่งสัปดาห์หลังจากเพิ่งประสบความสำเร็จในการผ่าตัดช่วยชีวิตหนูน้อยรายนี้ที่ป่วยเป็นโรคประหลาด อันเป็นผลให้ศีรษะของเธอบวมมีขนาดใหญ่กว่าปกติ 2 เท่า
(แฟ้มภาพ) เด็กหญิงรูนา เบกัม ครั้งที่เข้ารับการผ่าตัดเอาของเหลวออกจากกะโหลกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
การผ่าตัดศัลยกรรมเสริมสร้างกะโหลกศีรษะของหนูน้อยรูนา เบกัม มีขึ้น ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งใกล้กรุงนิวเดลี ในวันอังคาร(21) โดยคณะแพทย์ชุดเดียวกับที่ประสบความสำเร็จในปฏิบัติการผ่าตัดช่วยชีวิตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ด้วยการดูดของเหลวออกจากกะโหลกของเด็กหญิงที่ป่วยเป็นโรคภาวะน้ำคั่งในสมอง’ ที่เรียกอีกชื่อว่า ‘โรคหัวบาตร’ หรือ ‘หัวแตงโม’ จนทำให้ศีรษะบวมมีขนาดใหญ่
"เราได้ดำเนินการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมสร้างกะโหลกศีรษะครั้งสำคัญเพื่อลดขนาดศีรษะของเธอเมื่อวันอังคาร(21) และตอนนี้ยังไม่มีเหตุแทรกซ้อนใดๆ" นายแพทย์ ซานดีพ เวชยา บอกกับเอเอฟพี พร้อมเผยว่ากระบวนการผ่าตัดรวมไปถึงการเคลื่อนย้ายและเฉือนกระดูกกับชื้นส่วนเนื้อเยื่อต่างๆ อย่างไรก็ตามยังจำเป็นต้องผ่าตัดศัลยกรรมเพิ่มเติมอีกอย่างน้อยๆ 1 รอบ"
หนูน้อยรูนา เกิดมาพร้อมกับภาวะน้ำคั่งในสมอง ซึ่งเป็นผลจากน้ำในไขสันหลังเพิ่มมากขึ้นในกะโหลกศีรษะ เป็นผลให้ศีรษะของเธอบวมมีขนาดใหญ่ผิดปกติ โดยวัดรอบศีรษะได้ 94 เซนติเมตร ทำให้เด็กหญิงรายนี้ไม่สามารถนั่งตัวตรงหรือคลานได้ ขณะที่สถาบันความผิดปกติทางระบบประสาทและเส้นเลือดในสมองของสหรัฐฯ ได้ประมาณตัวเลขว่าในเด็ก 500 คน จะมี 1 คน ที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคนี้
เด็กหญิงรูนา ถูกพบในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัฐตริปุระ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยอาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่มีฐานะยากจนและไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล แต่หลังจากเอเอฟพีได้แพร่ภาพของหนูน้อย ก็มีโรงพยาบาลเสนอการรักษาให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
มีรายงานว่า โจนาส บอร์ชเกรวินค์ กับนาธาเลีย ครันต์ซ 2 นักศึกษามหาวิทยาลัยนอร์เวย์ เริ่มลงมือรณรงค์ทางออนไลน์และสามารถรวบรวมเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือครอบครัวและเป็นทุนดูแลเด็กหญิงในอนาคตได้แล้วกว่า 52,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ(ราว1.5ล้านบาท) โดยทั้งสองเผยว่าได้ติดต่อกับเว็บไซต์สื่อมวลชนท้องถิ่นในรัฐตริปุระ เพื่อขอช่วยเป็นคนกลางที่จะนำเงินไปมอบแก่ครอบครัวหนูน้อยรายนี้
ที่มา : http://www.manager.co.th/
No comments:
Post a Comment