Mess เป็นบริการจัดทำอาหารให้เฉพาะกลุ่ม โดยการจ้างพ่อครัวมาทำอาหารให้ในหน่วยงานนั้นๆ โดยตรง หรือการผูกปิ่นโตกับคนที่รับจ้างทำอาหารหรือภัตตาคารต่างๆ และโดยเฉพาะในสถาบันการศึกษาเกือบทุกแห่งมักจะมี Mess ไว้ให้บริการนักศึกษาที่อยู่ประจำในหอพักของมหาวิทยาลัยของตน โดยคิดค่าอาหารเป็นรายเดือน ลักษณะของ Mess ไม่ต่างอะไรกับอาหารในโรงอาหารของโรงเรียนประถมบ้านเรานั่นเอง เพียงแต่เน้นอาหารประเภท Veg หรือ มังสวิรัติเป็นหลัก
แม้ว่าหลายๆ มหาวิทยาลัยจะมี Canteen ไว้ให้บริการอยู่ด้วยก็ตาม แต่ Canteen จะแตกต่างจาก Mess ตรงที่เราสามารถเลือกซื้อและเลือกทานอย่างที่อยากทานได้ (Canteen บางมหาวิทยาลัยที่เล็กๆ ก็แทบไม่มีอะไรให้เลือกเหมือนกัน) แต่ Mess นี่หมดสิทธิ์เลือกเขาจัดอะไรให้ทานก็ต้องทาน และทานเหมือนกันทุกคน ไม่มีพิเศษแต่อย่างใด แต่ดีตรงที่เติมได้ไม่จำกัดยกเว้นของหมด และถ้าอยากทานแบบพิเศษล่ะก็ต้องจัดหามาสมทบกันเอาเอง แต่บางที่เขาก็ให้นักศึกษามีส่วนกำหนดรายการอาหารเหมือนกัน อย่างไรก็ไม่พ้น Veg สลับกันไปมาเหมือนเดิม เพราะเพื่อนๆ อินเดียนเขาทานกันแต่ Veg เป็นหลัก
ปกติอาหารที่เขาจัดให้สำหรับมื้อเที่ยงและมื้อเย็นโดยมากมีสองสามอย่าง ได้แก่ ซับจี (ผัดสารพัดผัก สลับกันไปมาในแต่ละวัน) ดาน (แกงถั่วและแกงผัก สลับรูปแบบถั่วและผักไปมาเช่นกัน) สองอย่างนี้เป็นเมนูหลักของอาหารเกือบทุกมื้อ บางวันอาจมีพิเศษสักอย่างมาเพิ่มเปลี่ยนรสชาติ อาจมี Non-veg ให้ทานบ้าง สัปดาห์ละครั้ง โดยมากเป็นเนื้อไก่ ไข่ และปลาบ้าง และทานกับจาปาตีหรือโรตี ลักษณะเป็นแผ่นแป้งกลมแบน ใช้ฉีกทานกับอาหาร คล้ายเราทานข้าวเหนียวประมาณนั้น ใช้จิ้มหรือจับอาหารเข้าปาก และมักตบท้ายด้วยข้าว โดยมากเขาจะราดน้ำแกง(ดาน) ลงบนข้าวแล้วใช้นิ้วกวาดคนให้เข้ากัน แล้วเอาเข้าปาก อื้ม! อร่อยของเขาเลยล่ะ แต่โดยมากพวกเราใจไม่กล้าพอขอใช้ช้อนทานแล้วกัน
และแล้วก็ถึงคราวของพวกเราแล้วที่ต้อง(ถูกบังคับ)ทาน Mess กัน หลังจากที่สำราญกับการทำอาหารไทยสารพัดเมนูในหอกันมานาน คราวนี้ทางคอลเลจเขาเกิดเอาจริงจังขึ้นมา บังคับให้ทุกคนงดทำอาหารในห้องพัก เพื่อเป็นการบีบกันทางอ้อมให้ทาน Mess ที่ทางคอลเลจจัดให้ และต้องจ่ายค่าอาหารตกเดือนละ 1200 รูปี ว่าไปแล้วก็ถู๊กถูก แค่วันละ 40 รูปีเอง รวมมื้อเที่ยงและมื้อเย็นด้วย ถ้าทานได้อย่างนี้คงมีเงินเหลือเก็บกันน่าดู แถมน้ำหนักน่าจะลดไปหลายกิโลทีเดียว ก็ต้องดูกันต่อไปว่าจะทาน Mess ไปได้นานสักแค่ไหน…ซ.ต.พ. (ซึ่งต้องพิสูจน์ !)
ที่มา : Seed-of-Hope
No comments:
Post a Comment