tag:blogger.com,1999:blog-17606210728572684572024-03-13T23:43:17.923+07:00ท่องแดนภารตะศึกษา เรียนรู้ พร้อมสัมผัสวิถีชีวิตอินเดียในทุกๆ ด้านUnknownnoreply@blogger.comBlogger180125tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-16192450358591070772016-12-03T16:13:00.002+07:002016-12-30T10:00:41.078+07:00ศาลสูงสุดของอินเดียตัดสินว่าโรงภาพยนตร์ทุกแห่งต้องเปิดเพลงชาติก่อนที่จะฉายภาพยนตร์<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-s61fDqSS1uc/WEKNHa6QJsI/AAAAAAAAQYE/pAb9TeNfgcoystzXUey20cl9P7lP6o77QCLcB/s1600/india-flag-waving-wallpaper.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="110" src="https://3.bp.blogspot.com/-s61fDqSS1uc/WEKNHa6QJsI/AAAAAAAAQYE/pAb9TeNfgcoystzXUey20cl9P7lP6o77QCLcB/s200/india-flag-waving-wallpaper.jpg" width="200" /></a></div>
ผู้ตัดสินในคดีนี้คือผู้พิพากษาดีปัก มิชรา และผู้พิพากษาอมิตาฟ รอย ระบุว่า คำตัดสินนี้จะต้องบังคับใช้ภายใน 10 วัน และผู้เข้าชมภาพยนตร์ต้องยืนตรงเพื่อเคารพเพลงชาติด้วย และขณะเปิดเพลงชาติให้ฉายรูปธงชาติอินเดียขึ้นบนจอภาพยนตร์ บอกว่าการกระทำเช่นนี้เพื่อให้ประชาชนได้มีเวลาหยุดคิดถึงเสรีภาพที่ได้รับและเพื่อส่งเสริมความรักชาติ<br />
<br />
<a name='more'></a>ช่วงทศวรรษ 1960-1970 โรงภาพยนตร์ส่วนใหญ่ในอินเดียมีการเปิดเพลงชาติก่อนฉายภาพยนตร์ แต่หลังจากนั้นโรงภาพยนตร์ที่เปิดเพลงชาติเริ่มน้อยลง และแต่ละรัฐในอินเดียมีกฎหมายเกี่ยวกับเพลงชาติแตกต่างกันไป โดยกระทรวงมหาดไทยอินเดียออกกฎว่าต้องยืนตรงเคารพเพลงชาติทุกครั้ง และโรงภาพยนตร์ที่เปิดเพลงชาติส่วนใหญ่จะขึ้นข้อความขอร้องให้ผู้ชมยืนตรงเคารพเพลงชาติ<br />
<br />
เมื่อปี 2546 รัฐมหาราษฏระออกกฎให้โรงภาพยนตร์ทุกแห่งเปิดเพลงชาติ แต่เมื่อปีที่แล้วศาลสูงในรัฐทมิฬนาฑูตัดสินไม่เห็นด้วยที่บังคับให้โรงภาพยนตร์ทุกแห่งต้องเปิดเพลงชาติ โดยให้เหตุผลว่าอาจทำให้เกิดความไม่สงบและความสับสนขึ้นได้<br />
<br />
ชาวอินเดียต่างแสดงความคิดเห็นต่อคำตัดสินของศาลสูงสุดเรื่องนี้ทางโซเชียลมีเดีย โดยมีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยฝ่ายไม่เห็นด้วยมองว่าเป็นการละเมิดต่อเสรีภาพ.<br />
<br />
ขอบคุณที่มา: <a href="http://www.thaipost.net/" target="_blank">ไทยโพสต์</a> <a href="http://www.thaipost.net/?q=%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4">http://www.thaipost.net/?q=ศาลสูงสุดอินเดียสั่งทุกโรงหนังเปิดเพลงชาติ</a><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen="" class="YOUTUBE-iframe-video" data-thumbnail-src="https://i.ytimg.com/vi/ZjoyM5G_6W8/0.jpg" frameborder="0" height="380" src="https://www.youtube.com/embed/ZjoyM5G_6W8?feature=player_embedded" width="500"></iframe></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-s61fDqSS1uc/WEKNHa6QJsI/AAAAAAAAQYE/TXFfaHrj4JkmdVyR_ET_kEuh9Lhx_GbQwCEw/s1600/india-flag-waving-wallpaper.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="221" src="https://3.bp.blogspot.com/-s61fDqSS1uc/WEKNHa6QJsI/AAAAAAAAQYE/TXFfaHrj4JkmdVyR_ET_kEuh9Lhx_GbQwCEw/s400/india-flag-waving-wallpaper.jpg" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
ที่มา: <a href="http://news.mthai.com/hot-news/world-news/536063.html">http://news.mthai.com/</a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-_Ltc2fXMaok/WEKNHaO18tI/AAAAAAAAQYI/aHdx_Bqo4RYquQn4D8BDKSUMEMF-YTvSACEw/s1600/yd161201_khaaw4_nakeriiynainemuuengaihedraabadkamlangyuuenekhaarphephlngchaati.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="265" src="https://1.bp.blogspot.com/-_Ltc2fXMaok/WEKNHaO18tI/AAAAAAAAQYI/aHdx_Bqo4RYquQn4D8BDKSUMEMF-YTvSACEw/s400/yd161201_khaaw4_nakeriiynainemuuengaihedraabadkamlangyuuenekhaarphephlngchaati.jpg" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="text-align: start;"><br /></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="text-align: start;">ที่มา: </span><a href="http://www.thaipost.net/?q=%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4" style="text-align: start;">http://www.thaipost.net/</a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br /></div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-35522759802701876172016-12-03T05:00:00.000+07:002016-12-03T05:00:00.177+07:00อาชีพรับจ้างอุ้มบุญ (Surrogacy) ในอินเดีย<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhIUww-KqsocTaWQiU_ewZVr0LrfOK3wY_N3q-ZnviXLJI-1WEKAPZzjU8Ce-mSB-MxRWHAMvJJ2ip35QYwiTXDVTYusQ4fPcGkjw-OVAeDEX46bNirj2s0Lxvy7t5-_nfOZNcUgU_L4yo/s1600/10india.large3.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="131" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhIUww-KqsocTaWQiU_ewZVr0LrfOK3wY_N3q-ZnviXLJI-1WEKAPZzjU8Ce-mSB-MxRWHAMvJJ2ip35QYwiTXDVTYusQ4fPcGkjw-OVAeDEX46bNirj2s0Lxvy7t5-_nfOZNcUgU_L4yo/s200/10india.large3.jpg" width="200" /></a></div>
ในโลกยุคไอทีปัจจุบันการจัดจ้างคนมาการแทนในเรื่องต่างๆ หลายเรื่องกลายเป็นสิ่งปกติธรรมดาในสังคม แม้กระทั่งการจัดจ้างคนมาอุ้มท้องและคลอดลูกให้กับตนเอง มีทั้งคนที่มีลูกยากและอยากจะได้สมาชิกใหม่มาเชยชม และบางคนต้องการรักษารูปร่างและทรวดทรงอีกทั้งกลัวเจ็บจากการตั้งครรภ์ก็เลยจัดจ้างคนมาทำการแทนให้ก็มี <br />
<br />
<a name='more'></a>แต่อาชีพรับจ้างอุ้มบุญนี้กำลังแพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ อย่างอินเดีย เป็นต้น ซึ่งได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของคู่สามีภรรยาที่ไม่มีลูก หรือแม้แต่คนโสดที่ต้องการมีลูกจากประเทศแถบอเมริกา ยุโรป และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เข้ามามองหาคนอุ้มท้องแทนตน และอินเดียก็กำลังจะกลายเป็นแหล่งใหญ่ของอาชีพนี้ เพราะสามารถรับจ้างอุ้มบุญได้ในราคาถูก<br />
<br />
ในสังคมปัจจุบันที่ผู้หญิงต้องออกไปทำงานนอกบ้านเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ชายมากขึ้น ทำให้ไม่มีเวลาสำหรับการตั้งครรภ์และเป็นมารดา อีกทั้งผู้หญิงบางคนที่รักสวยรักงามเกินเหตุ ไม่อยากให้รูปร่างของตนเปลี่ยนแปลงไปในขณะตั้งครรภ์ แต่บุคคลเหล่านี้ก็ปรารถนาอย่างเต็มเปี่ยมที่จะมีบุตร รวมทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่เป็นโสดแต่อยากจะมีลูกเป็นของตนเองเช่นกัน โดยขอบริจาคไข่หรือสเปิร์มแล้วแต่กรณี<br />
<br />
อินเดียจึงกลายเป็นตลาดใหญ่ที่เป็นที่ต้องการสูงของคนอยากมีลูก คุณแม่อุ้มบุญจะได้รับค่าจ้างในการอุ้มท้องให้กับคู่สามีภรรยาอื่นๆ ในสนนราคาราว 500,000 จนถึง 1 ล้านรูปี บ้างก็รับค่าจ้างถูกกว่านั้น โดยอาศัยวิธีการของเด็กหลอดแก้ว ที่นำไข่และสเปิร์มจากคู่สามีภรรยาหรือที่ได้รับบริจาคมามาผสมพันธุ์กันและนำเข้าฝังในมดลูกของคุณแม่อุ้มบุญ<br />
<br />
ซึ่งการรับจ้างอุ้มบุญนี้ก็ได้กลายเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วในอินเดีย โดยมากผู้หญิงที่รับจ้างอุ้มบุญมักจะจำกัดอายุไม่เกิน 45 ปี และได้รับการตรวจเลือดว่าปลอดจากเอดส์ ไวรัสตับอักเสบ B และ C รวมทั้งทาลัสซีเมียด้วย ซึ่งค่าตอบแทนก็เป็นที่พึงพอใจของคุณแม่อุ้มบุญทั้งหลายที่จะได้ช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวของตนเองในส่วนหนึ่ง<br />
<br />
แต่อย่างไรก็ตามสิทธิของสตรีเหล่านี้ยังไม่ได้รับการคุ้มครองเท่าที่ควร และก็ยังเป็นเรื่องที่จะต้องถกเถียงกันต่อไปทั้งในด้านจิตใจ สุขภาพ และทางกฎหมาย<br />
<br />
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:<br />
<br />
<a href="http://newsblaze.com/story/20100825095235iwfs.nb/topstory.html">http://newsblaze.com/</a><br />
<a href="http://healthmad.com/health/outsourcing-pregnancy-surrogate-mothers-in-india/">http://healthmad.com/</a><br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEgy-zb0wjx7PrV4mJCUCV6-JziHsAX2QePo4yJoNgfjeAOk-rVG0ketFfUYeAzSYmgGHMXRDeCqnrCpi6ZCKqBmGEQVLdAAzREZfuVfid4XI0utITy2AHytd0lf6QIOvgdJV4Wpg0aL4/s1600/10india.large3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="262" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEgy-zb0wjx7PrV4mJCUCV6-JziHsAX2QePo4yJoNgfjeAOk-rVG0ketFfUYeAzSYmgGHMXRDeCqnrCpi6ZCKqBmGEQVLdAAzREZfuVfid4XI0utITy2AHytd0lf6QIOvgdJV4Wpg0aL4/s400/10india.large3.jpg" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="text-align: left;">(Source: </span><span style="text-align: left;"><a href="http://www.nytimes.com/2008/03/10/world/asia/10surrogate.html">http://www.nytimes.com/2008/03/10/world/asia/10surrogate.html</a></span><span style="text-align: left;">)</span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="text-align: left;"><br /></span></div>
</div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-47334045561782605542016-11-26T21:15:00.001+07:002017-04-23T15:52:32.369+07:00รูดาลี (Rudali) ผู้หญิงที่มีอาชีพรับจ้างร่ำไห้ในงานศพ<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjfwLhQ03iUC1mys9j4Qgj-tuyUydUudtm5xCk-oMQXHtupTLdeejBbhwcd_OVZU-KamqirTrRIMDwBpFUNytviEkdHP-AUi3nijh2e3L9bAqtXY1PM_64MU_D-khiTCijPz1UruDxP0IQ/s1600/Rudaali5.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="153" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjfwLhQ03iUC1mys9j4Qgj-tuyUydUudtm5xCk-oMQXHtupTLdeejBbhwcd_OVZU-KamqirTrRIMDwBpFUNytviEkdHP-AUi3nijh2e3L9bAqtXY1PM_64MU_D-khiTCijPz1UruDxP0IQ/s200/Rudaali5.jpg" width="200" /></a></div>
การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดในชีวิต แต่คนเราก็มีการแสดงออกที่แตกต่างกัน สำหรับบุคคลชั้นสูงในบางพื้นที่ในราชสถาน รัฐทางตะวันตกสุดและดินแดนแห่งทะเลทรายของอินเดีย จะไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงออกทางอารมณ์ในที่สาธารณะ จึงต้องจ้างให้กลุ่มผู้หญิงวรรณต่ำกว่ามาร่ำไห้แทนในงานศพของบุคคลในครอบครัว<br />
<br />
<a name='more'></a>กลุ่มสตรีที่ทำอาชีพดังกล่าวนี้เรียกว่า รูดาลี (rudali, rudaali) โดยความหมายตามตัวอักษรแปลว่า ผู้หญิงที่ร้องไห้ งานของพวกเธอเป็นการแสดงความเศร้าโศกแทนคนในครอบครัวชั้นสูงที่ไม่สามารถแสดงออกได้ พวกเธอจะต้องมาร่ำไห้ที่บ้านของผู้ตายทุกวัน ซึ่งเชื่อกันว่ายิ่งแสดงความเศร้าโศกเสียใจหรือร่ำไห้มากเท่าใด ก็ยิ่งแสดงถึงเกียรติ ความยิ่งใหญ่ และยศศักดิ์ของคนตายมากเท่านั้น<br />
<br />
ชีวิตของรูดาลีซึ่งเป็นกลุ่มผู้หญิงธรรมดาในวรรณะต่ำไม่ค่อยเป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจมากนัก จนกระทั่งเรื่องราวของพวกเธอได้รับการสะท้อนเป็นภาพยนตร์ฮินดีที่ชื่อว่า Rudaali (1993) นำแสดงโดย ดิมเปิล กาปาเดีย (Dimple Kapadia) ทำให้คนภายนอกได้รู้จัก รูดาลี และวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวรัฐราชสถานมากขึ้น<br />
<br />
ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ส่งผลให้นักแสดงนำ ดิมเปิล ได้รับรางวัลในงานแสดงภาพยนตร์แห่งชาติ (National Film Award) ในบทบาทของ ศาณิชรี (Shanichari) ผู้หญิงที่มีอาชีพรูดาลี<br />
<br />
ลองมาดูเรื่องราวของเธอจากบทเพลงในภาพยนตร์ Rudali และ โฆษณาสนุกๆ Rudali’s bindi ad กันดูค่ะ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen="" class="YOUTUBE-iframe-video" data-thumbnail-src="https://i.ytimg.com/vi/F10aeM9V1Ho/0.jpg" frameborder="0" height="400" src="https://www.youtube.com/embed/F10aeM9V1Ho?feature=player_embedded" width="500"></iframe></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<iframe allowfullscreen="" class="YOUTUBE-iframe-video" data-thumbnail-src="https://i.ytimg.com/vi/_g21CR434Is/0.jpg" frameborder="0" height="400" src="https://www.youtube.com/embed/_g21CR434Is?feature=player_embedded" width="500"></iframe></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhoe7XNVwmenWwZQFwnO30APRWmoRSh3fmu38AYXkzbd-g98eTq4wOiOueBDg41VdO_ptfgk2g2XGi3NVxF9V00mL_30BYkOgJDZ6PAus6XEamIIQuC6t9zIiR1R3bo5BCoPKIOcy5bewA/s1600/Rudaali5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="306" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhoe7XNVwmenWwZQFwnO30APRWmoRSh3fmu38AYXkzbd-g98eTq4wOiOueBDg41VdO_ptfgk2g2XGi3NVxF9V00mL_30BYkOgJDZ6PAus6XEamIIQuC6t9zIiR1R3bo5BCoPKIOcy5bewA/s400/Rudaali5.jpg" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
Source: <a href="https://uiowa.edu/indiancinema/rudaali">https://uiowa.edu/indiancinema/rudaali</a></div>
<br /></div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-51369668292226819042015-01-15T16:54:00.001+07:002015-01-15T17:00:44.267+07:00พบศพนับร้อยลอยเกลื่อนแม่น้ำคงคาในอินเดีย<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJsWgQW1FA9oHaXnUEbU8zW3vB00d7UfK1W4G7IbXFoek4TYaDwG4WlzdeX4iyIZmHVVM9rI1KQNMLrd0L4nO-XcOOOVAZ24EkI57NvsbuwaaaVxOhJEFnFFQ9rDQdTfF6P0X7MIWRzdo/s1600/222.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJsWgQW1FA9oHaXnUEbU8zW3vB00d7UfK1W4G7IbXFoek4TYaDwG4WlzdeX4iyIZmHVVM9rI1KQNMLrd0L4nO-XcOOOVAZ24EkI57NvsbuwaaaVxOhJEFnFFQ9rDQdTfF6P0X7MIWRzdo/s1600/222.jpg" height="120" width="200" /></a></div>
โดยทีมงาน Sanook.com<br />
<br />
พบศพนับร้อยลอยเกลื่อนในแม่น้ำคงคาประเทศอินเดีย หวั่นเรื่องของสุขอนามัย <br />
<br />
(15 ม.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเรื่องราวในประเทศอินเดีย พบศพนับร้อยลอยเกลื่อนเต็มแม่น้ำคงคา แม่น้ำที่ขึ้นชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์<br />
<br />
<a name='more'></a>รายงานระบุว่า เจ้าหน้าที่ของทางการอินเดีย เปิดเผยว่าพบศพราว 80 ศพ ลอยในลำน้ำคงคา ทำให้เป็นที่วิตกเกี่ยวกับความสะอาดของแม่น้ำสายนี้ ซึ่งมีการเผาศพชาวฮินดูนับล้านคน<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJsWgQW1FA9oHaXnUEbU8zW3vB00d7UfK1W4G7IbXFoek4TYaDwG4WlzdeX4iyIZmHVVM9rI1KQNMLrd0L4nO-XcOOOVAZ24EkI57NvsbuwaaaVxOhJEFnFFQ9rDQdTfF6P0X7MIWRzdo/s1600/222.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJsWgQW1FA9oHaXnUEbU8zW3vB00d7UfK1W4G7IbXFoek4TYaDwG4WlzdeX4iyIZmHVVM9rI1KQNMLrd0L4nO-XcOOOVAZ24EkI57NvsbuwaaaVxOhJEFnFFQ9rDQdTfF6P0X7MIWRzdo/s1600/222.jpg" height="240" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="text-align: left;">พบศพนับร้อยลอยเกลื่อนในแม่น้ำคงคาประเทศอินเดีย หวั่นเรื่องของสุขอนามัย</span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="text-align: left;">ที่มา: </span><a href="http://news.sanook.com/1731505/" style="text-align: left;">http://news.sanook.com/1731505/</a></div>
<br />
ด้านตำรวจและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของอินเดีย เปิดเผยว่า พบศพในบริเวณลำน้ำสายย่อยของแม่น้ำคงคาใกล้จุดที่มีการเผาศพในรัฐอุตตรประเทศ ทางตอนเหนือของอินเดีย ภาพที่เผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์เป็นภาพสุนัขและนกกำลังรุมกินซากศพที่เน่าอืดลอยน้ำ ซึ่งเชื่อว่าระดับน้ำอาจลดลงเมื่อไม่นานมานี้เจ้าหน้าที่ประมาณว่า มีการนำศพขึ้นมาได้ราว 80 ศพ และเชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นอีกโดยอาจถึง 100 ศพ<br />
<br />
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กล่าวว่าได้ส่งคณะแพทย์ออกไปเก็บตัวอย่างจากศพเพื่อสอบสวนแล้ว<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม การพบศพจำนวนมากในสถานที่แห่งเดียว ทำให้เป็นที่วิตกว่าจะเกิดปัญหาต่อสภาพแวดล้อมและสาธารณสุข (ข้อมูลจากสำนักข่าวไทย)<br />
<br />
ติดตามข่าวด่วน เกาะกระแสข่าวดัง บน Facebook คลิกที่นี่!!<br />
<br />
<b>ที่มา:</b> <a href="http://news.sanook.com/1731505/">http://news.sanook.com/1731505/</a></div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-49746377620341807872014-09-20T16:59:00.000+07:002015-01-15T17:00:31.275+07:00อินเดียตื่นตัวหลังอัล-กออิดะห์ขยายเครือข่ายสู่เอเชียใต้<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhXC9w0rq5FRUBacv5LzQyfodamNxemA7OHijVAPKMcbky_4uOJqBppPUoj7cA_UN3J2vOxOvHLrivhRaHtKavkUJT1Yl78fQ20TwbzDd6Y7QcIuAeY99Pwc7T5_OW3tgWZDTHqHfnx0GU/s1600/816358.jpeg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhXC9w0rq5FRUBacv5LzQyfodamNxemA7OHijVAPKMcbky_4uOJqBppPUoj7cA_UN3J2vOxOvHLrivhRaHtKavkUJT1Yl78fQ20TwbzDd6Y7QcIuAeY99Pwc7T5_OW3tgWZDTHqHfnx0GU/s1600/816358.jpeg" height="146" width="200" /></a></div>
แถลงการณ์ของกลุ่มก่อการร้ายอัล-กออิดะห์ เรื่องการขยายเครือข่ายสู่เอเชียใต้ ที่อินเดียเป็นหนึ่งในเป้าหมาย กระตุ้นให้รัฐบาลนิวเดลียกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยทั่วประเทศเป็นขั้นสูงสุด<br />
<br />
<a name='more'></a>สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 4 ก.ย. ว่ากระทรวงมหาดไทยอินเดียออกแถลงการณ์ยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยตามสถานที่สำคัญทุกแห่งทั่วประเทศเป็นขั้นสูงสุด เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการโจมตีทุกรูปแบบที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หลังกลุ่มก่อการร้ายอัล-กออิดะห์ เผยแพร่วีดีโอคลิปของนายไอย์มาน อัล-ซาวาฮิรี ผู้นำสูงสุด ซึ่งประกาศขยายเครือข่ายสู่ภูมิภาคเอเชียใต้ เพื่อปักธงของนักรบจีฮัดในบังกลาเทศ ปากีสถาน เมียนมาร์ และในบางรัฐของอินเดีย ได้แก่ อัสสัม ชัมมูร์และแคชเมียร์ และคุชราต<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhXC9w0rq5FRUBacv5LzQyfodamNxemA7OHijVAPKMcbky_4uOJqBppPUoj7cA_UN3J2vOxOvHLrivhRaHtKavkUJT1Yl78fQ20TwbzDd6Y7QcIuAeY99Pwc7T5_OW3tgWZDTHqHfnx0GU/s1600/816358.jpeg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhXC9w0rq5FRUBacv5LzQyfodamNxemA7OHijVAPKMcbky_4uOJqBppPUoj7cA_UN3J2vOxOvHLrivhRaHtKavkUJT1Yl78fQ20TwbzDd6Y7QcIuAeY99Pwc7T5_OW3tgWZDTHqHfnx0GU/s1600/816358.jpeg" height="292" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="text-align: left;">ที่มา: </span><a href="http://www.dailynews.co.th/Content/foreign/264293/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A5-%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89" style="text-align: left;">http://www.dailynews.co.th/Content/foreign/</a></div>
<br />
ขณะเดียวกัน สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติของอินเดีย (ไอบี) อยู่ระหว่างตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อระบุที่มา วัน เวลา และสถานที่ในการบันทึกวีดีโอคลิปดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นหลายฝ่ายเชื่อว่า เป็นของจริง<br />
<br />
อินเดียจัดเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายของกลุ่มนักรบหัวรุนแรงในเอเชียใต้ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งเลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มหัวรุนแรงลาชการ์-อี-ไทบา ก่อเหตุกราดยิงและวางระเบิดสถานที่หลายแห่งในนครมุมไบต่อเนื่อง 4 วัน ระหว่างวันที่ 26-29 พ.ย. 2551 คร่าชีวิตประชาชนอย่างน้อย 164 ศพ และได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 600 คน ก่อนที่สถานการณ์จะยุติลงเมื่ออินเดียปฏิบัติการโจมตีโต้กลับครั้งใหญ่<br />
<br />
<b>ที่มา:</b> เดลินิวส์ <a href="http://www.dailynews.co.th/Content/foreign/264293/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A5-%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89">http://www.dailynews.co.th/Content/foreign/</a></div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-10342675172728392812013-12-12T23:34:00.000+07:002013-12-12T23:34:10.016+07:00ศาลอินเดียลั่น! รักร่วมเพศ ผิดกฎหมายอาญา<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgC4iB8aV8g1-AWgIZCAdrkLFwAFyApU4Pc_bSitMtctwdHU8YuY1j2zXAzqn_X3ODHSkhM3kLjMpJ3OqdrRnN76Bv541OjdUl0EUiHbHdEYskMxkTqPrdWLlFp2lavt0vcuGxDM2bZBYM/s1600/fre.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="120" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgC4iB8aV8g1-AWgIZCAdrkLFwAFyApU4Pc_bSitMtctwdHU8YuY1j2zXAzqn_X3ODHSkhM3kLjMpJ3OqdrRnN76Bv541OjdUl0EUiHbHdEYskMxkTqPrdWLlFp2lavt0vcuGxDM2bZBYM/s200/fre.jpg" width="200" /></a></div>
ศาลสูงสุดอินเดียพิพากษาบังคับใช้กฎหมายยุคอาณานิคม ระบุให้พฤติกรรมรักร่วมเพศเป็นความผิดอาญา<br />
<br />
(12 ธ.ค.) สำนักข่าว ต่างประเทศรายงาน ว่า ศาลสูงสุดอินเดียประกาศว่าการมีเซ็กส์ระหว่างเพศเดียวกัน ถือเป็นความผิดทางอาญา โทษสูงสุดถึง 10 ปีทำให้ชาวรักร่วมเพศ ต่างรวมตัวต่อต้านคำพิพากษาดังกล่าว เพราะถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
โดยรายงานระบุว่า หลังจากที่คณะผู้พิพากษาสูงสุดของอินเดีย เคยพิพากษาเมื่อปี 2009 ว่า มาตรา 377 ของประมวลกฎหมายอาญาที่ว่าด้วยการห้ามกลุ่มรักร่วมเพศไม่ให้มีเพศสัมพันธ์กันนั้น เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล สร้างความดีใจให้ชาวสีม่วง ซึ่งได้ออกมารณรงค์ให้สังคมภารตะหยุดกีดกันคนรักร่วมเพศ แต่แล้วศาลก็กลับมาประกาศใช้กฎหมายมาตรา 377 อีกครั้ง โดยระบุชัดว่าพฤติกรรมรักร่วมเพศเป็นความผิดทางอาญา ผู้ที่กระทำผิดจะได้รับโทษสูงสุดถึง 10 ปี<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgC4iB8aV8g1-AWgIZCAdrkLFwAFyApU4Pc_bSitMtctwdHU8YuY1j2zXAzqn_X3ODHSkhM3kLjMpJ3OqdrRnN76Bv541OjdUl0EUiHbHdEYskMxkTqPrdWLlFp2lavt0vcuGxDM2bZBYM/s1600/fre.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em; text-align: center;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgC4iB8aV8g1-AWgIZCAdrkLFwAFyApU4Pc_bSitMtctwdHU8YuY1j2zXAzqn_X3ODHSkhM3kLjMpJ3OqdrRnN76Bv541OjdUl0EUiHbHdEYskMxkTqPrdWLlFp2lavt0vcuGxDM2bZBYM/s400/fre.jpg" width="400" /></a><br />
<br />
ทั้งนี้ การพิพากษาดังกล่าวได้สร้างความพึงพอใจให้กับองค์กรศาสนา ผู้นำชาวมุสลิมและชาวคริสต์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้คนกลุ่มนี้ได้ออกมาต่อต้านพฤติกรรมรักร่วมเพศอย่างต่อเนื่อง โดยกล่าวว่าการรักเพศเดียวกันเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เชื้อเอดส์แพร่ระบาดใน ขณะที่ทางด้านองค์การนิรโทษกรรมสากล ได้ตำหนิศาลสูงสุดของอินเดียว่า การพิพากษาเช่นนี้เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทำลายความเท่าเทียมและศักดิ์ศรีของพลเมือง<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม ในสังคมอินเดียพฤติกรรมรักร่วมเพศถือเป็นสิ่งต้องห้าม และเป็นที่รังเกียจอย่างมาก เพราะถูกมองว่าเป็นพวกมีอาการป่วยทางจิต โดยคาดว่าหลังจากนี้ กลุ่มคนรักร่วมเพศจะออกมาประท้วงเรียกร้องสิทธิดังกล่าวกันเป็นจำนวนมาก<br />
<br />
<b>Source:</b> <a href="http://news.sanook.com/1353832/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A8-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2/">http://news.sanook.com/</a></div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-53390627596304170502013-09-08T05:00:00.000+07:002013-09-09T00:50:54.856+07:00เทศกาลคเณศจตุรถี (Ganesh Chaturthi) ที่เมืองปูเณ่<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEio4KU-8xAm36U4SrMM_M5Yy6Z5J5XDIlWxGV2dhyJ_Lr1Nq4WUEYmBw8LPMDaZA5ndKR5JPRfWsv7EoV_LKoKxuEpMozqX-cihOkNiOjILYThUOQUqUfXyE9l2JPI_Hi4q_w8zX8r0tP4/s1600/india-ganesh011.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEio4KU-8xAm36U4SrMM_M5Yy6Z5J5XDIlWxGV2dhyJ_Lr1Nq4WUEYmBw8LPMDaZA5ndKR5JPRfWsv7EoV_LKoKxuEpMozqX-cihOkNiOjILYThUOQUqUfXyE9l2JPI_Hi4q_w8zX8r0tP4/s1600/india-ganesh011.jpg" /></a></div>
เทศกาลพระคเณศ (Ganpati festival) หรือที่รู้จักกันในชื่อ คเณศจตุรถี (Ganesh Chaturthi) เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอินเดียเลยก็ว่าได้ เนื่องในวันคล้ายวันประสูติของพระองค์ ในช่วงวันขึ้น 4 ค่ำ แห่งเดือนภาทรบท (Bhaadrapada) เดือนนี้อยู่ในระหว่างเดือนสิงหาคมและกันยายน สำหรับปีนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ 9 กันยายน<br />
<br />
<a name='more'></a>เชื่อกันว่าพระคเณศจะเสด็จลงมายังโลกมนุษย์เพื่อประทานพรอันประเสริฐสูงสุดแก่ผู้ศรัทธาพระองค์ เทศกาลนี้จึงมีขึ้นเพื่อจัดพิธีกรรมบูชาและเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ทั่วอินเดียและทั่วโลก สำหรับในเมืองปูเณ่ ซึ่งเป็นเมืองสำคัญในการจัดเทศกาลนี้ ได้เริ่มต้นงานคเณศจตุรถีขึ้นเป็นประจำทุกปีและจะเฉลิมฉลองต่อเนื่องไปเป็นเวลาถึง 10 วัน<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBSPK7UWpQ5G8S3M4Fkin7NyviTVJ3QrYV9UOgK2Z0SXPRyn8LtB_A38QXTR4nvcZg2DsQGReCuO3oaI7xSyQNxk6TM3VxpV9nBZeogOBdCR-8Ce6ovHPpyvxcWcC8mAWjsGgun20-nzE/s1600/india-ganesh02-227x300.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBSPK7UWpQ5G8S3M4Fkin7NyviTVJ3QrYV9UOgK2Z0SXPRyn8LtB_A38QXTR4nvcZg2DsQGReCuO3oaI7xSyQNxk6TM3VxpV9nBZeogOBdCR-8Ce6ovHPpyvxcWcC8mAWjsGgun20-nzE/s320/india-ganesh02-227x300.jpg" width="241" /></a></div>
พระคเณศ หรือเป็นที่นิยมเรียกในหลายๆ ชื่อว่า พระพิฆเนศ พระพิฆเณศ พระวิฆเณศ หรือ คณปติ เทพเจ้าในศาสนาฮินดู มีพระเศียรเป็นช้าง ทรงเป็นโอรสของพระศิวะ (Shiva) และ พระนางปารวตี (Parvati) เป็นที่นับถือกันอย่างกว้างขวางในฐานะที่เป็นเทพเจ้าแห่งความรู้ เป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศ ผู้ปราดเปรื่องในศิลปวิทยาทุกแขนง และเป็นผู้เป็นใหญ่ในการขจัดอุปสรรคทั้งปวง จึงเป็นที่เคารพบูชาสูงสุดโดยเฉพาะของผู้คนในรัฐมหาราษฎร์<br />
<br />
แต่ละบ้านเรือนจะจัดหาเทวรูปพระคเณศมาบูชา และในวันสุดท้ายของการเฉลิมฉลองนี้ ในแต่ละชุมชนจะมีการแห่แหนองค์เทวรูปพระคเณศขนาดใหญ่โตไปทั่วเมืองและมุ่งหน้าไปสู่แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์สายต่างๆ ถนนหนทางทุกหนแห่งจะมีผู้คนออกมาชมการแห่องค์เทวรูปตลอดทาง ผู้ศรัทธาที่เป็นสตรีจะแต่งกายด้วยชุดส่าหรีสีสันสวยงาม และขบวนแห่จะไปสิ้นสุดที่แม่น้ำำสำคัญสายต่างๆ ที่ืถือเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ เช่น แม่น้ำคงคา แม่น้ำสรัสวตี เป็นต้น แล้วทำพิธีลอยเทวรูปลงสู่แม่น้ำหรือทะเล<br />
<br />
สำหรับสถานที่สำคัญในการจัดเทศกาลคเณศจตุรถีในเมืองปูเณ่อยู่ที่ถนนลักษมี ซึ่งมีวิหารประดิษฐานพระคเณศทองคำ ในทุกปีจะมีประชาชนจำนวนมากต่างมาเข้าแถวเรียงรายยาวเหยียดเพื่อได้เข้าไปสักการะรูปเคารูปของพระองค์อย่างใกล้ชิด<br />
<br />
<br />
<div style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', 'Bitstream Charter', Times, serif; font-size: 13.194443702697754px; line-height: 18.99305534362793px;">
<br /></div>
<div style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', 'Bitstream Charter', Times, serif; font-size: 13.194443702697754px; line-height: 18.99305534362793px;">
<br /></div>
</div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-87406219886547384122013-08-15T05:00:00.000+07:002013-08-15T02:44:29.895+07:0015 สิงหาคม วันประกาศเอกราชของอินเดีย (India's Independence Day)<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiWcJRN3ClWhYnEb6ceFjElqNh9RRFnORllYVE1JZvaH_U29KAHwZO8E7HIs3nYEyBWcJ0qoIW0D7-fZjwUcZR2UpuOyED6bFNywwCZnFHdu42KUYljjA9muDGvTwK_ZetjY6JG_EmqBys/s1600/india-independence-day.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiWcJRN3ClWhYnEb6ceFjElqNh9RRFnORllYVE1JZvaH_U29KAHwZO8E7HIs3nYEyBWcJ0qoIW0D7-fZjwUcZR2UpuOyED6bFNywwCZnFHdu42KUYljjA9muDGvTwK_ZetjY6JG_EmqBys/s1600/india-independence-day.jpg" /></a></div>
"ในขณะที่เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน ในยามที่โลกหลับใหล อินเดียจะตื่นขึ้นมามีชีวิตและเสรีภาพ เมื่อโอกาสสำคัญซึ่งยากเป็นไปได้ในประวัติศาสตร์นี้ได้มาถึง เมื่อนั้นพวกเราจะก้าวออกจากโลกเก่าเข้าสู่โลกใหม่ ...อินเดียจะได้ค้นพบตัวตนของตนเองอีกครั้ง " เยาวหราล เนห์รู<br />
<br />
<a name='more'></a>เยาวหราล เนห์รู นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย ได้กล่าวปราศรัยในวันประกาศอิสระภาพของอินเดีย ณ บริเวณเชิงเทินป้อมแดง Red Fort ในกรุงเดลี ในวันที่ 15 สิงหาคม ปี 1947 (พ.ศ.2490) วันนี้ของทุกปี จึงเป็นวันที่มีความสำคัญมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของอินเดีย เมื่ออังกฤษประกาศคืนอิสรภาพให้แก่อินเดียในตอนเที่ยงคืนวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1947<br />
<br />
การต่อสู้เพื่อประกาศความเป็นเอกราชของอินเดียเริ่มขึ้นเมื่อการล่าอาณานิคมของชาวยุโรปเข้ามา พวกเขาเข้ามาในอินเดียเริ่มแรกในฐานะพ่อค้า เมื่อเวลาผ่านไปก็เข้าควบคุมกิจการต่างๆ ของอินเดีย อังกฤษเข้าครอบครองส่วนใหญ่ของอินเดีย ขณะที่โปรตุเกสและฝรั่งเศสครอบครองพื้นที่ส่วนน้อยบางส่วน การลุกขึ้นเรียกร้องอิสรภาพของอินเดียเริ่มขึ้นในปี 1857 เพื่อหาทางปลดปล่อยอินเดียให้เป็นเอกราช มีการรณรงค์ให้ความรู้และปลุกระดมความเป็นชาตินิยมในอินเดีย นำโดยโมหันทาสการามจัน คานธี (Mohandas Karamchand Gandhi) หรือที่ชาวอินเดียนิยมเรียกว่า มหาตมะ คานธี ซึ่งได้ใช้วิธีอหิงสา (non-violence) เข้าต่อสู้กับผู้ปกครองอังกฤษอย่างเงียบๆ<br />
<br />
มหาตมะ คานธี นำชาวอินเดียทั้งประเทศทำการประท้วงอย่างสันติในปี ค.ศ.1922 รวมทั้งได้นำชาวอินเดียต่อต้านกฎหมายเรียกเก็บภาษีเกลือของอังกฤษในปี ค.ศ.1930 และเดินขบวนครั้งใหญ่เรียกร้องให้อังกฤษปลดปล่อยอินเดียในปี ค.ศ.1942 มีการก่อการจลาจลกลางเมืองจนถึงขั้นนองเลือดเกิดขึ้นในหลายเมืองของอินเดีย เหตุการณ์เหล่านี้บีบบังคับให้อังกฤษต้องทำความตกลงยอมยกอำนาจการปกครองประเทศให้อินเดีย ในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1947 ชาวอินเดียจึงถือเอาวันนี้เป็นวันประกาศอิสรภาพและวันหยุดราชการของประเทศด้วย<br />
<br />
จนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลา 62 ปี ของการเป็นเอกราชจากการปกครองของอังกฤษ หลังจากได้รับเอกราช อินเดียก็ได้รับการสถาปนาเป็นสาธารณรัฐอินเดียในอีก 3 ปีต่อมา แต่อินเดียก็ต้องถูกแบ่งแยกออกเป็นสองประเทศ ได้แก่ อินเดียและปากีสถาน ปากีสถานก็ได้ถือเอาวันที่ 14 สิงหาคม เป็นวันประกาศเอกราชของตนเอง<br />
<br />
ในการเฉลิมฉลองวันสำคัญนี้ของอินเดีย ธงชาติสามสีจะถูกชักขึ้นทั่วประเทศโดยพร้อมเพรียงกัน พร้อมประดับธงตามหลังคาบ้านเรือนและอาคารสำคัญๆ ผู้คนจำนวนมากเดินทางไปยังสถานที่ราชการต่างๆ เพื่อร่วมพิธีเคารพธงชาติอินเดีย นายกรัฐมนตรีจะกล่าวสุนทรพจน์ เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันและแผนการพัฒนาในอนาคตของประเทศ การเล่นว่าวก็กลายมาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเมื่อไม่นานมานี้ จะมองเห็นว่าวหลากหลายสีสรร และหลายขนาดกวัดแกว่งบนอากาศ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพ<br />
<br />
<div style="font-size: 13.194443702697754px; line-height: 18.99305534362793px;">
<br /></div>
<div style="font-size: 13.194443702697754px; line-height: 18.99305534362793px;">
<span class="Apple-style-span" mce_name="strong" mce_style="font-weight: bold;" style="font-weight: bold;"><span mce_style="color: #993300;" style="color: #993300;">อ่านเพิ่มเติม</span></span></div>
<div style="font-size: 13.194443702697754px; line-height: 18.99305534362793px;">
<a href="http://learningpune.com/?p=7099" mce_href="http://learningpune.com/?p=7099" target="_blank">Happy Independence Day 2010! 63 ปีแห่งเสรีภาพอินเดีย</a></div>
<div style="font-size: 13.194443702697754px; line-height: 18.99305534362793px;">
<br /></div>
<br /></div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-8832669295751077202013-08-13T02:09:00.001+07:002013-08-13T02:11:48.949+07:00อินเดียเผยโฉมเรือรบที่ผลิตภายในประเทศลำแรกจากอู่ต่อเรือที่รัฐเกรละ ทางภาคใต้<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhXvxC9UhMn0qp3gaF3_11epFEoHkHkq86Nqmr0_V6-O326rsqE8D8m94AHbKhV2vIUtLHdyBkjbna_KkLKIBuUZW3OagkghlBBwnNdEcVVJq67sbzj1ZpuZupPrRVVr1Lqtco8zUKytoY/s1600/India-0010.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhXvxC9UhMn0qp3gaF3_11epFEoHkHkq86Nqmr0_V6-O326rsqE8D8m94AHbKhV2vIUtLHdyBkjbna_KkLKIBuUZW3OagkghlBBwnNdEcVVJq67sbzj1ZpuZupPrRVVr1Lqtco8zUKytoY/s1600/India-0010.jpg" /></a></div>
โดย มติชนออนไลน์<br />
<br />
รัฐบาลอินเดีย เปิดเผยโฉมเรือ"ไอเอ็นเอส วิกรานต์" (INS Vikrant) ขนาด 37,500 ตันที่อู่ต่อเรือเมืองโกชี แม้จะล่าช้าจากกำหนดเดิมถึง 3 ปี แต่คาดว่าจะเสร็จพร้อมทดสอบในทะเลปี 2016 ก่อนที่จะเข้าประจำการในกองทัพเรือภายในปี 2018 โดยจะมีเครื่องบินรบ มิก-29เค และเฮลิคอปเตอร์ คามอฟ-31 ประจำการ<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgagmTOmT1Tky0BP3RoJ54SdCAkJ7-M6355rvNPwGoJHx3i7ly7opaThqVxxiXC7O0u4wvw8eCUp4nahEj670sspCDnTd29GYP8e50QxaSCuDIGBHINcG4oaQ29SdJJ2r1JPI-K6ZGWPrg/s1600/INS+Vikrant+Kochi.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="242" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgagmTOmT1Tky0BP3RoJ54SdCAkJ7-M6355rvNPwGoJHx3i7ly7opaThqVxxiXC7O0u4wvw8eCUp4nahEj670sspCDnTd29GYP8e50QxaSCuDIGBHINcG4oaQ29SdJJ2r1JPI-K6ZGWPrg/s400/INS+Vikrant+Kochi.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
ทำให้ขณะนี้ อินเดียกลายป็นประเทศที่มีความสามารถในการต่อเรือรบได้ด้วยตัวเองเป็นประเทศที่ 5 ต่อจาก สหรัฐฯ อังกฤษ รัสเซีย และฝรั่งเศส<br />
<br />
การเปิดตัวเรือบรรทุกเครื่องบิน ถือเป็นการสิ้นสุดขั้นตอนแรกของการก่อสร้าง อย่างไรก็ดี เรือยังจำเป็นต้องมีการต่อเติมรายละเอียดอื่นๆ รวมถึงการก่อสร้างส่วนบนของลำเรือซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ<br />
<br />
เรือไอเอ็นเอส วิกรานต์ ซึ่งมีความยาว 260 เมตร และกว้าง 60 เมตร ถูกสร้างที่อู่ต่อเรือของบริษัทโคชิน ชิปยาร์ด ลิมิเต็ด ที่เมืองโคชี รัฐเกรละ ออกแบบและผลิตโดยใช้เหล็กกล้าคุณภาพสูงที่ผลิตโดยบริษัทเหล็กกล้าของรัฐบาล<br />
<br />
โดยส่วนโครงสร้างลำเรือ ใช้วัสดุและอุปกรณ์ที่ผลิตในประเทศราวร้อยละ 80-90 ขณะที่อุปกรณ์ขับเคลื่อนใช้อุปกรณ์ที่ผลิตในประเทศร้อยละ 60 และอุปกรณ์ที่ใช้ในการต่อสู้ ผลิตในอินเดียร้อยละ 30 และออกแบบโดยกรมการออกแบบทหารเรือ<br />
<br />
<b>ที่มา:</b> <a href="http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1376298981">http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1376298981</a><br />
<br /></div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-51817650017778028132013-06-20T05:00:00.000+07:002013-06-20T05:00:04.235+07:00Indian Snack – ขนมขบเคี้ยวและอาหารว่างของอินเดีย<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjVdvazfv0pw3hrl3VaIg-nXECTwsq6u3cLrPTVRSjpHfmH2heAbfr9gXNdDaAKYp4YWbyFbEzLQ6jcQIUB7ylmzgmBOFV917nTAL8sn0CxwR0G8bLXf1RSXwXkfv0OrrHyJHOnrpCEyVo/s1600/pic13-013.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjVdvazfv0pw3hrl3VaIg-nXECTwsq6u3cLrPTVRSjpHfmH2heAbfr9gXNdDaAKYp4YWbyFbEzLQ6jcQIUB7ylmzgmBOFV917nTAL8sn0CxwR0G8bLXf1RSXwXkfv0OrrHyJHOnrpCEyVo/s1600/pic13-013.jpg" /></a></div>
อินเดียมี Snack หรือ ขนมขบเคี้ยวไว้รับประทานจำนวนมาก แม้จะใช้ชื่อว่าเป็น Snack แต่ก็ใช้เป็นอาหารมื้อหนักได้เหมือนกัน ชาวอินเดียส่วนใหญ่รับประทานกันในตอนเช้าหรือตอนเย็น หรือรับประทานเล่นๆ เป็นของว่างระหว่างมื้ออาหาร ขนมขบเคี้ยวพวกนี้เป็นที่นิยมเพราะเตรียมอุปกรณ์ง่าย และทำได้ทุกเมื่อทุกเวลา<br />
<br />
<a name='more'></a>อีกทั้งชาวอินเดียเขาจะมีเวลาดื่มชาวันละ 2-3 เวลา ขึ้นอยู่กับความขี้เกียจทำงานของแต่ละคน แต่ส่วนมากเวลาที่เราไปติดต่องานก็จะเจอเวลาที่พักกินชาอยู่เสมอๆ อาจจะทำให้ใครหลายๆ คนเซ็งและเบื่อเวลาติดต่องาน การดื่มชาของชาวอินเดียบางครั้งจะมีการรับประทานอาหารว่างไปด้วย อาหารว่างของชาวอินเดียมีอยู่หลายชนิด สำหรับพวกเรานักเรียนสามารถหารับประทานเป็นอาหารเที่ยงกันได้เลย เพราะเวลาพักเที่ยงจะมีแค่ 1 ชั่วโมง สามารถหารับประทานได้ตามโรงอาหารในมหาวิทยาลัยทั่วไปค่ะ วันนี้จะมีอาหารว่างที่สามารถหารับประทานได้ทั่วไปในยามเช้าและเที่ยงมาแนะนำค่ะ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgw4x0YSsoiQ0W7xV4G7lu6pLT2_YkRLNdUMzukIYsY1O7fBjnd2NzMvp0ICOctN07FziRgUth7lXA50Tezi4QW1wL06QO3FOd7s31kfIGJVs8vdeTgdO-zgSCaLvRZ_Bon9M23h2N0YLw/s1600/india-samosa01.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgw4x0YSsoiQ0W7xV4G7lu6pLT2_YkRLNdUMzukIYsY1O7fBjnd2NzMvp0ICOctN07FziRgUth7lXA50Tezi4QW1wL06QO3FOd7s31kfIGJVs8vdeTgdO-zgSCaLvRZ_Bon9M23h2N0YLw/s1600/india-samosa01.jpg" /></a></div>
<b>Samosa</b><br />
<br />
Samosa หรือ ซาโมซ่า เป็นขนมที่นำไปทอด มีลักษณะสามเหลี่ยม ถ้าเปรียบกับขนมของบ้านเราก็จะคล้ายกับกระหรี่พัฟ แต่ส่วนมากที่เราหากินได้ในปูเณ่จะเป็นแบบไส้มันฝรั่ง วิธีการทำของ Samosa ก็ไม่ยากเพราะมีแป้งห่อสำเร็จรูปขาดตามตู้แช่แข็งของซุปเปอร์มาเก็ต ส่วนผสมของ Samosa ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ ไส้ของมันก็ทำมาจากมันฝรั่งต้มสุกแล้วนำมาบดผสมกับหัวหอม, ผักชี, ถั่ว แล้วนำมาห่อด้วยแผ่นแป้ง แล้วนำไปทอดแบบ deep fry ส่วนน้ำจิ้มของเค้าจะเป็นแบบพริกเขียวนำมาบดค่ะ แต่ถ้าให้สะดวกซื้อทานเอาดีกว่าเพราะชิ้นละประมาณ 5 รูปีเองค่ะ<br />
<br />
ถ้าเป็น Samosa ไส้เนื้อเราสามารถหาได้ตามแหล่งที่มีชาวมุสลิมอยู่เยอะๆ เช่นย่านหลังตลาด Shivaji รสชาติก็อร่อยดีไปอีกแบบค่ะ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhtQTNoUnv5EiINDtPRc8PdvsTV_fmBgvAq1fScGh7WP1ZA99bDmJhr_uJNslkY1UXm9ZDpSn61JMwmLDlgWbS7t-oUSFstFTO51By8Z8KHROUrr08bQzD-ztAB549vZ-HrR_NGQ6WL46c/s1600/india-vadapav01.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhtQTNoUnv5EiINDtPRc8PdvsTV_fmBgvAq1fScGh7WP1ZA99bDmJhr_uJNslkY1UXm9ZDpSn61JMwmLDlgWbS7t-oUSFstFTO51By8Z8KHROUrr08bQzD-ztAB549vZ-HrR_NGQ6WL46c/s1600/india-vadapav01.jpg" /></a></div>
<b>Vada Pav</b><br />
<br />
Vada Pav หรือ วาดาเปา เป็นของว่างที่ขึ้นชื่อที่สุดในรัฐมหาราษฏระ ลักษณะของวาดาเปาก็จะเป็นลักษณะคล้ายกับแฮมเบอร์เกอร์ค่ะ หารับประทานได้ไม่ยากแล้วราคาไม่แพงด้วย ส่วนผสมของวาดา ก็มีมันฝรั่งบด ผสมกับเม็ดมาสตาส ขมิ้นและเกลือ ปั้นให้เป็นก้อนหลังจากนั่นก็นำไปชุปแป้งแล้วทอดแบบ deep fry ส่วนเปาก็คือขนมปังเป็นก้อนนำมาผ่าครึ่งแล้วนำวาดามาวางไว้ตรงกลาง เวลาทานก็จะมีพริกทอดเป็นเครื่องเคียงค่ะ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjLxeVEmYt14DaLnRJxbu6PG0-OQbuVlGJWdYD2bL7wLpLVzXAApC0u9sNqFX5fb3bI5MJVyZhFrqnxDA15nsmRGHdvyKgKgOoCHmW0_Q4XouIglcl78KNie-eAcSkAVuAqdC3jMVjHTrc/s1600/india-pakora01.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjLxeVEmYt14DaLnRJxbu6PG0-OQbuVlGJWdYD2bL7wLpLVzXAApC0u9sNqFX5fb3bI5MJVyZhFrqnxDA15nsmRGHdvyKgKgOoCHmW0_Q4XouIglcl78KNie-eAcSkAVuAqdC3jMVjHTrc/s1600/india-pakora01.jpg" /></a></div>
<b>Pakora</b><br />
<br />
Pakora หรือ ปาโกรา หรือที่คนไทยเรียก ปาโกดา แล้วแต่จะสะดวกเวลาสั่ง ปาโกดาสามารถหากินได้ง่ายตามร้านที่ขายขนมหวานหรือร้านที่ขายชา ลักษณะของมันจะเหมือนกับผักทอดของบ้านเรา จะมีหลายชนิดให้เลือก เช่น มะเขือม่วงหั่นเป็นแว่น หัวหอม ผักโขม พริก ดอกกะหล่ำ นำมาชุปแป้งแล้วทอดแบบ deep fry เวลาทานก็จะทานกับซอสมะเขือเทศค่ะ<br />
<br />
ยังมีขนมขบเคี้ยวและอาหารว่างอีกหลายๆ อย่างที่อยากแนะนำค่ะ เอาไว้คราวหน้าจะนำมาแนะนำใหม่อีกนะคะ<br />
<br />
โดย Jayjay<br />
<span class="Apple-style-span" style="color: #888888; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px;"><a href="http://indian-way-of-life.blogspot.com/2013/06/indian-snack.html">http://indian-way-of-life.blogspot.com/2013/06/indian-snack.html</a></span><br />
<div>
<br /></div>
</div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-58221704951867687672013-06-16T05:00:00.000+07:002013-06-16T05:00:04.046+07:00ไฟฉุกเฉินหรือโคมไฟตั้งโต๊ะแบบชาร์ทแบตได้<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdP3lQbK7FXT1lUMqBfy5phiV-IJ5eUKrzVGvWpdZpSLABlnhM2Nc53rhgr5NVZlgbGO901d4j3mImZehQRLcK43kQb5CTJv5e8UrksQoU7xx2MCz6vAd915-5P-D-uHOPb5c4W6D9XDc/s1600/pic13-009.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdP3lQbK7FXT1lUMqBfy5phiV-IJ5eUKrzVGvWpdZpSLABlnhM2Nc53rhgr5NVZlgbGO901d4j3mImZehQRLcK43kQb5CTJv5e8UrksQoU7xx2MCz6vAd915-5P-D-uHOPb5c4W6D9XDc/s1600/pic13-009.jpg" /></a></div>
เครื่องใช้ไฟฟ้าอีกอย่างที่มีความจำเป็นเหมือนกันในยามที่ไฟดับ นอกจากไฟฉายที่ถือเป็นความจำเป็นอันดับหนึ่งแล้ว ไฟฉุกเฉินหรือโคมไฟแบบตั้งโต๊ะและชาร์ทแบตได้ก็อาจเป็นอุปกรณ์ที่ควรมีติดห้องไว้ โดยเฉพาะในยามใกล้สอบ ซึ่งบางทีก็มีเหตุไฟฟ้าดับแบบคาดการณ์ไม่ได้เกิดขึ้น เพราะที่อินเดียไฟฟ้าดับบ่อยมาก<br />
<br />
<a name='more'></a>โคมไฟดังกล่าวที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Emergency Light บ้างก็เรียก Rechargeable Lantern หาซื้อได้ง่ายตามร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปในอินเดีย ในราคา 600 กว่ารูปีขึ้นไปจนถึง 2000 กว่ารูปี นับว่าแพงพอสมควรที่อินเดีย แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นเหมือนกันในยามไม่มีแสงสว่างใช้ ทำให้นึกถึงแบตเตอร์ที่บ้านเรานำมาใช้ส่องกบหรือจับปลาในยามค่ำคืน<br />
<br />
ของแบบนี้จะเตรียมพร้อมมาจากบ้านเราก็ได้นะ แต่แบตเตอรี่ส่องกบแบบที่ว่าไม่ทราบว่าจะเอามาอินเดียได้หรือเปล่าเพราะคงเป็นของอันตรายพอสมควร อย่างดีมีไฟฉายมาก็พอแล้ว หรือถ้าไม่ต้องการเปลืองเงินซื้อไฟฉุกเฉินดังกล่าว ก็ขอให้มีเทียนสะสมไว้ใช้อย่างพอเพียงในยามฉุกเฉินก็แล้วกัน<br />
<br />
<b>ที่มา :</b> Seed-of-Hope<br />
<div>
<span class="Apple-style-span" style="color: #888888; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px;"><a href="http://indian-way-of-life.blogspot.com/2013/06/blog-post.html">http://indian-way-of-life.blogspot.com/2013/06/blog-post.html</a></span></div>
<div>
<span class="Apple-style-span" style="color: #888888; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px;"><br /></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQYKE2LrOMpkiJGMHB8RRwX_HFTqwK8hCkMXCwGF9ZpgTTmZFMpkENv13DcBPCR5GFOKThxgkzqo4nhzSeNDdktxQdy3XZ6P4YfiJGb64yrD-5J7QAilLcxzKxqQDqwYAp3fy5kgyTzm0/s1600/india-rechargeablelamp02.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="275" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQYKE2LrOMpkiJGMHB8RRwX_HFTqwK8hCkMXCwGF9ZpgTTmZFMpkENv13DcBPCR5GFOKThxgkzqo4nhzSeNDdktxQdy3XZ6P4YfiJGb64yrD-5J7QAilLcxzKxqQDqwYAp3fy5kgyTzm0/s400/india-rechargeablelamp02.jpg" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div>
<br /></div>
</div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-31581798525925989722013-06-15T22:16:00.000+07:002013-06-15T22:16:55.907+07:00"สหประชาชาติ" คาด "อินเดีย"ขึ้นแท่น "ประเทศที่มีประชากรที่สุดในโลก" หลังปี 2028 เป็นต้นไป<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi2tEk01-WDHq0AbxBuy6sda_oAzwUQNDp4gxnefCjPWawfUQ6cdAFHmFvlusqucb_tsUm9WWA0Yqmc53nk-fy32M2ineVm0bcyQQNBNBt8tii3tmiERnKLiNRhMUBuIAewadZWnJrGxX0/s1600/pic13-023.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi2tEk01-WDHq0AbxBuy6sda_oAzwUQNDp4gxnefCjPWawfUQ6cdAFHmFvlusqucb_tsUm9WWA0Yqmc53nk-fy32M2ineVm0bcyQQNBNBt8tii3tmiERnKLiNRhMUBuIAewadZWnJrGxX0/s1600/pic13-023.jpg" /></a></div>
สหประชาชาติคาดว่า อินเดียจะโค่นจีนในฐานะประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกหลังปี 2028 เป็นต้นไป โดยทั้ง 2 ประเทศจะมีประชากรประเทศละ 1,450 ล้านคนในปี 2028 แต่ประชากรในจีนจะค่อยๆลดลง ในขณะที่ประชากรในอินเดียจะยังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
นอกจากนี้ สหประชาชาติยังคาดว่าจำนวนประชากรในโลกจะสูงขึ้นจาก 7,200 ล้านคนในปัจจุบันไปอยู่ที่ 9,600 ล้านคนในปี 2050 ซึ่งเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นที่มากกว่าที่เคยคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้ โดยประชากรส่วนใหญ่จะเพิ่มขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกา และประชากรใน 49 ประเทศที่ด้อยพัฒนาที่สุดในโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 900 ล้านคนในปี 2013 ไปสู่ราว 1,800 ล้านคนในปี 2050 ขณะที่ประชากรในประเทศพัฒนาแล้วคาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง<br />
<br />
<b>ที่มา : </b>มติชนออนไลน์ <br />
<a href="http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1371282066">http://www.matichon.co.th/</a><br />
<br /></div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-23010908175702713172013-06-12T05:00:00.000+07:002013-06-12T05:00:03.381+07:00เรื่องเหลือเชื่อ – ชายชาวอินเดียไม่อาบน้ำกว่า 35 ปี เพราะอยากได้ลูกชาย<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiaEbpWNildFrCHEHNbeSr5cbRFLIo07b9azPobUXGiwOw5tGnwFJQLuPyC1bAlyLEHAZ_LPsLxNDNF-IdOER41_pO8WHVgaPWbmtnwEFw5rjFOmkL4UGxyiXVTBC9ySSgnFB3aSiVvbaA/s1600/pic13-008.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiaEbpWNildFrCHEHNbeSr5cbRFLIo07b9azPobUXGiwOw5tGnwFJQLuPyC1bAlyLEHAZ_LPsLxNDNF-IdOER41_pO8WHVgaPWbmtnwEFw5rjFOmkL4UGxyiXVTBC9ySSgnFB3aSiVvbaA/s1600/pic13-008.jpg" /></a></div>
อินเดียก็เหมือนกับประเทศในเอเชียหลายประเทศที่นิยมลูกชายมากกว่าลูกสาว แต่ชายชาวอินเดียผู้ซึ่งมีลูกสาวถึง 7 คนนี้ถึงกับอุทิศตนอ้อนวอนต่อเทพเจ้าด้วยการไม่อาบน้ำ แต่อาบไฟแทน เป็นเวลาถึง 35 ปี เพื่อขอให้ลูกคนต่อไปเป็นผู้ชาย เหลือเชื่อจริงๆ<br />
<br />
<a name='more'></a>ชายคนนี้มีชื่อว่า Kailash “Kalau” Singh อายุ 63 ปี อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน Chatav นอกเมืองพาราณสี เขายอมที่จะไม่อาบน้ำ ไม่แปรงฟัน แต่หันมาอาบไฟแทน ในตอนเย็นทุกๆ วัน ขณะที่ยืนขาเดียว สูบกัญชา พร้อมกับท่องบทสวดบูชาศิวะเทพไปด้วย เขากล่าวว่ามันก็เหมือนกับการอาบน้ำธรรมดานั่นแหล่ะ แต่ไฟจะช่วยฆ่าเชื้อโรคในร่างกายเราได้ด้วย<br />
<br />
อีกทั้งเขายังไม่ยินยอมละทิ้งความตั้งใจ โดยการไม่ยอมลงไปแช่ตัวในแม่น้ำคงคาตามพิธีทางศาสนา แม้ในวันตายของพี่ชายตนเองเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าตัวเองก็จำไม่ได้แล้วว่ามันเริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร รู้แต่ว่าทำอย่างนี้มา 35 ปีแล้ว เดิมเขาเปิดร้านขายของชำ แต่ก็ต้องปิดลงไปเพราะเพื่อนบ้านเลิกมาซื้อเนื่องจากการไม่รักษาสุขอนามัยของเขา ปัจจุบันจึงหันมาทำอาชีพทำนาไร่อยู่ใกล้สนามบินพาราณสี<br />
<br />
Kalau กล่าวว่าที่เขาปฏิญาณตนด้วยการไม่อาบน้ำนี้เป็นการทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และเขาจะยอมเลิกทำอย่างนี้ก็ต่อเมื่อปัญหาต่างๆ ที่เผชิญหน้าประเทศอยู่ในขณะนี้ยุติลง (เฮ้อ! สงสัยคงจะไม่มีวันเสียล่ะ) แต่เพื่อนบ้านต่างบอกว่าเป็นเหตุผลอื่นที่ทำให้เขาต่อต้านการอาบน้ำ นั่นคือ มีหมอดูคนหนึ่งบอกกับ Kalau ว่าถ้าเขาไม่อาบน้ำเขาก็อาจจะโชคดีได้ลูกชาย นี่อาจเป็นเหตุผลสำคัญของเขา<br />
<br />
แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ สตรีชาวอินเดียต้องเป็นฝ่ายไปขอผู้ชายให้แต่งงานด้วย รวมถึงต้องจ่ายค่าสินสอดทองหมั้น และอุทิศตนให้กับครอบครัวของฝ่ายสามี จึงเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้คนอินเดียชื่นชมลูกชายมากกว่าลูกสาว หนุ่มๆ บ้านเราฟังแล้วอยากมาอยู่อินเดียกันใช่ไหมล่ะ<br />
<br />
<b>ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก</b><br />
<br />
<a href="http://my.opera.com/thecosmo/blog/show.dml/3458704">http://my.opera.com/</a><br />
<a href="http://military.rightpundits.com/2009/05/12/kailash-kalau-singh-is-indian-man-goes-35-years-without-bathing/">http://military.rightpundits.com/</a><br />
<br />
<b>ที่มา :</b> Seed-of-Hope<br />
<span class="Apple-style-span" style="color: #888888; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px;"><a href="http://indian-way-of-life.blogspot.com/2013/06/35.html">http://indian-way-of-life.blogspot.com/2013/06/35.html</a></span><br />
<br />
<div>
<br /></div>
</div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-43882360881162137852013-06-11T11:59:00.003+07:002013-06-11T11:59:50.084+07:00ตระกูลอัมบานีทำข้อตกลงโทรคมนาคม<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEir9-uMnulBuQ_ygMXfdRWnCeddbpGwDMITgVs_UMB9dJCcXBOm2MDuHXnKmlG1_tNKAcQztrExuwqIjrNuG5RhDk3TSFdnhYuw5L7RnzMTN-idqhDMpPsO5UtqvDpm33EktGnR3c7nOGM/s1600/pic13-019.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEir9-uMnulBuQ_ygMXfdRWnCeddbpGwDMITgVs_UMB9dJCcXBOm2MDuHXnKmlG1_tNKAcQztrExuwqIjrNuG5RhDk3TSFdnhYuw5L7RnzMTN-idqhDMpPsO5UtqvDpm33EktGnR3c7nOGM/s1600/pic13-019.jpg" /></a></div>
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์<br />
<br />
มหาเศรษฐีสองพี่น้องตระกูลอัมบานีของอินเดีย ประกาศข้อตกลงมูลค่า 2.1 พันล้านดอลลาร์ ใช้โครงสร้างพื้นฐานอาคารโทรคมนาคมร่วมกัน<br />
<br />
<a name='more'></a>รีลิอันซ์ จิโอ อินโฟคอม หน่วยธุรกิจโทรคมนาคมของรีลิอันซ์ อุตสาหกรรมนำโดย นายมูเกช อัมบานี แถลงว่า บริษัทได้ลงนามกับรีลิอันซ์ คอมมูนิเคชัน บริษัทหัวหอกของอนิล อัมบานี กรุ๊ป เพื่อใช้อุปกรณ์ในอาคารโทรคมนาคมร่วมกัน<br />
<br />
มูลค่ารวมของข้อตกลงมากกว่า 2.1 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 6.3 หมื่นล้านบาท<br />
<br />
ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลง รีลิอันซ์ จิโอ อินโฟคอม จะใช้ประโยชน์จากอาคารและดาดฟ้าถึง 45,000 อาคาร ครอบคลุมเครือข่ายรีลิอันซ์ คอมมูนิเคชันทั่วประเทศ เพื่อเร่งกระจายบริการโทรคมนาคมในระบบสี่จี<br />
<br />
ในเดือนเมษายนทั้งสองบริษัทได้ลงนามข้อตกลง 220 ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้เครือข่ายไฟเบอร์ออปติกร่วมกัน ข้อตกลงล่าสุดอนุญาตให้สองบริษัทสร้างอาคารร่วมกันมากขึ้นในทำเลใหม่<br />
<br />
หลังจากนายดีรูไพ บิดามหาเศรษฐีอดีตยาจก เสียชีวิตลงในปี 2545 โดยไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ สองพี่น้องได้เปิดศึกเพื่อแย่งชิงการควบคุมรีลิอันซ์ แต่ทั้งคู่ได้ยุติการแบ่งแยกรีลิอันซ์ กรุ๊ป บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่ามากที่สุดของอินเดีย<br />
<br />
ที่มา : <a href="http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/foreign/20130608/510081/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1.html">http://www.bangkokbiznews.com/</a></div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-89712520868415032902013-06-11T11:54:00.000+07:002013-06-11T12:05:28.646+07:00อินเดียจับเจ้าสาวเกือบครึ่งพันตรวจพรหมจรรย์ก่อนเข้าพิธีสมรสหมู่<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgsMc6lPo0-X3d9gEFwZXa6TkYUFIjWS08bDdkDFRNIEmUIyWdxDKB5Fl1OqCOyA4_YSV41VNWugGxQJMUS7-FdT9Q5MCvbxIKdFCVCH6oeSdRkfqYSbBaYA3MmeUD6UvyILCRiSf2jLKA/s1600/pic13-020.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgsMc6lPo0-X3d9gEFwZXa6TkYUFIjWS08bDdkDFRNIEmUIyWdxDKB5Fl1OqCOyA4_YSV41VNWugGxQJMUS7-FdT9Q5MCvbxIKdFCVCH6oeSdRkfqYSbBaYA3MmeUD6UvyILCRiSf2jLKA/s1600/pic13-020.jpg" /></a></div>
<br />
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์<br />
<br />
สตรีหลายร้อยคนในอินเดีย ถูกบังคับใช้เข้ารับการตรวจพรหมจารีย์และการตั้งครรภ์ ก่อนเข้าพิธีสมรสหมู่ที่ทางรัฐเป็นผู้จัด ในโครงการช่วยเหลือสาวๆที่มาจากครอบครัวยากจนให้ได้มีโอกาสแต่งงาน<br />
<br />
<a name='more'></a>รายงานข่าวระบุว่ามีสตรีราวๆ 450 คนที่ต้องเข้ารับการตรวจร่างกายในเขตชนเผ่าเบตุล ถึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมพิธีสมรสหมู่ซึ่งจัดโดยรัฐบาลแห่งรัฐมัธยประเทศ ขณะที่ดินแดนแห่งนี้ถือเป็นรัฐใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของอินเดีย ด้วยมีประชากร 75 ล้านคนและเป็นถิ่นฐานของชนเผ่าขนาดใหญ่เผ่าหนึ่ง ซึ่งถูกตัดขาดจากการพัฒนากระแสหลัก<br />
<br />
รัฐบาลอินเดียมีแผนสนับสนุนการแต่งงานอย่างจริงจัง และเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเพื่อช่วยให้ผู้หญิงที่มาจากครอบครัวยากจนได้มีโอกาสแต่งงาน และยังได้จัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือนมูลค่าราว 9,000 รูปี(ราว4,800บาท) แก่เจ้าสาว อย่างไรก็ตามสตรีทั้งหมดที่จะเข้าร่วมพิธีที่หมู่บ้านฮารัด จำเป็นต้องผ่านการตรวจท้องและพรหมจารีย์เสียก่อน<br />
<br />
เว็บไซต์ไทม์สออฟอินเดีย อ้างคำสัมภาษณ์กับเหล่าเจ้าสาวเผยว่าไม่กี่นาที่ก่อนถึงฤกษ์เข้าพิธี พวกเธอได้รับแจ้งว่าจำเป็นต้องผ่านการตรวจร่างกายเสียก่อนหากต้องการเข้าร่วมโครงการนี้<br />
<br />
ทั้งนี้การตรวจร่างกายดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขท้องถิ่น 2 คน โดยหนึ่งในนั้นชี้แจงกับสื่อมวลชนว่าเหตุที่ดำเนินการตรวจดังกล่าวก็เพราะต้องสงสัยว่าผู้หญิงบางคนอาจตั้งครรภ์ ขณะที่รัฐบาลอ้างว่าที่ต้องทำแบบนี้ เหตุเคยจับได้ว่ามีสตรีหลายคนแอบอ้างเข้าร่วมพิธีเพียงเพื่อหวังได้ของกำนัล และรายงานข่าวระบุว่าในพิธีล่าสุดก็พบว่ามีเจ้าสาวถึง 9 คนที่ตั้งท้องและทั้งหมดถูกห้ามเข้าร่วมงานสมรสหมู่<br />
<br />
<b>ที่มา :</b> <a href="http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000070030">http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000070030</a></div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-46665352432481256792013-06-08T05:00:00.000+07:002013-06-08T05:00:02.587+07:00ถึงคราวต้อง (ถูกบังคับ) ทาน Mess กันแล้ว<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjaRtUOp9HiX-NDIM0X4viYXJMNnvEciW2AU8DxBSK0mtXFTFNcz4sgejWijvxpCO4OWP9OrOnjcVqFVtymsqJj0WVHjh77B1WCGo5CtT4T7OOpzdVZxX26xvVCG4uHuKPEWTyEoyWNX8c/s1600/pic13-007.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjaRtUOp9HiX-NDIM0X4viYXJMNnvEciW2AU8DxBSK0mtXFTFNcz4sgejWijvxpCO4OWP9OrOnjcVqFVtymsqJj0WVHjh77B1WCGo5CtT4T7OOpzdVZxX26xvVCG4uHuKPEWTyEoyWNX8c/s1600/pic13-007.jpg" /></a></div>
Mess เป็นบริการจัดทำอาหารให้เฉพาะกลุ่ม โดยการจ้างพ่อครัวมาทำอาหารให้ในหน่วยงานนั้นๆ โดยตรง หรือการผูกปิ่นโตกับคนที่รับจ้างทำอาหารหรือภัตตาคารต่างๆ และโดยเฉพาะในสถาบันการศึกษาเกือบทุกแห่งมักจะมี Mess ไว้ให้บริการนักศึกษาที่อยู่ประจำในหอพักของมหาวิทยาลัยของตน โดยคิดค่าอาหารเป็นรายเดือน ลักษณะของ Mess ไม่ต่างอะไรกับอาหารในโรงอาหารของโรงเรียนประถมบ้านเรานั่นเอง เพียงแต่เน้นอาหารประเภท Veg หรือ มังสวิรัติเป็นหลัก<br />
<br />
<a name='more'></a>แม้ว่าหลายๆ มหาวิทยาลัยจะมี Canteen ไว้ให้บริการอยู่ด้วยก็ตาม แต่ Canteen จะแตกต่างจาก Mess ตรงที่เราสามารถเลือกซื้อและเลือกทานอย่างที่อยากทานได้ (Canteen บางมหาวิทยาลัยที่เล็กๆ ก็แทบไม่มีอะไรให้เลือกเหมือนกัน) แต่ Mess นี่หมดสิทธิ์เลือกเขาจัดอะไรให้ทานก็ต้องทาน และทานเหมือนกันทุกคน ไม่มีพิเศษแต่อย่างใด แต่ดีตรงที่เติมได้ไม่จำกัดยกเว้นของหมด และถ้าอยากทานแบบพิเศษล่ะก็ต้องจัดหามาสมทบกันเอาเอง แต่บางที่เขาก็ให้นักศึกษามีส่วนกำหนดรายการอาหารเหมือนกัน อย่างไรก็ไม่พ้น Veg สลับกันไปมาเหมือนเดิม เพราะเพื่อนๆ อินเดียนเขาทานกันแต่ Veg เป็นหลัก<br />
<br />
ปกติอาหารที่เขาจัดให้สำหรับมื้อเที่ยงและมื้อเย็นโดยมากมีสองสามอย่าง ได้แก่ ซับจี (ผัดสารพัดผัก สลับกันไปมาในแต่ละวัน) ดาน (แกงถั่วและแกงผัก สลับรูปแบบถั่วและผักไปมาเช่นกัน) สองอย่างนี้เป็นเมนูหลักของอาหารเกือบทุกมื้อ บางวันอาจมีพิเศษสักอย่างมาเพิ่มเปลี่ยนรสชาติ อาจมี Non-veg ให้ทานบ้าง สัปดาห์ละครั้ง โดยมากเป็นเนื้อไก่ ไข่ และปลาบ้าง และทานกับจาปาตีหรือโรตี ลักษณะเป็นแผ่นแป้งกลมแบน ใช้ฉีกทานกับอาหาร คล้ายเราทานข้าวเหนียวประมาณนั้น ใช้จิ้มหรือจับอาหารเข้าปาก และมักตบท้ายด้วยข้าว โดยมากเขาจะราดน้ำแกง(ดาน) ลงบนข้าวแล้วใช้นิ้วกวาดคนให้เข้ากัน แล้วเอาเข้าปาก อื้ม! อร่อยของเขาเลยล่ะ แต่โดยมากพวกเราใจไม่กล้าพอขอใช้ช้อนทานแล้วกัน<br />
<br />
และแล้วก็ถึงคราวของพวกเราแล้วที่ต้อง(ถูกบังคับ)ทาน Mess กัน หลังจากที่สำราญกับการทำอาหารไทยสารพัดเมนูในหอกันมานาน คราวนี้ทางคอลเลจเขาเกิดเอาจริงจังขึ้นมา บังคับให้ทุกคนงดทำอาหารในห้องพัก เพื่อเป็นการบีบกันทางอ้อมให้ทาน Mess ที่ทางคอลเลจจัดให้ และต้องจ่ายค่าอาหารตกเดือนละ 1200 รูปี ว่าไปแล้วก็ถู๊กถูก แค่วันละ 40 รูปีเอง รวมมื้อเที่ยงและมื้อเย็นด้วย ถ้าทานได้อย่างนี้คงมีเงินเหลือเก็บกันน่าดู แถมน้ำหนักน่าจะลดไปหลายกิโลทีเดียว ก็ต้องดูกันต่อไปว่าจะทาน Mess ไปได้นานสักแค่ไหน…ซ.ต.พ. (ซึ่งต้องพิสูจน์ !)<br />
<br />
ที่มา : Seed-of-Hope<br />
<div>
<span class="Apple-style-span" style="color: #888888; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: 13px;"><a href="http://indian-way-of-life.blogspot.com/2013/05/mess-mess-mess-veg-canteen-canteen-mess.html">http://indian-way-of-life.blogspot.com/2013/05/mess-mess-mess-veg-canteen-canteen-mess.html</a></span></span><br />
<span class="Apple-style-span" style="color: #888888; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"><br /></span></div>
</div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-57493127765559087002013-06-05T21:39:00.001+07:002013-06-05T21:39:45.683+07:00สภาท้องถิ่นมุมไบจ่อออก ก.ม.ห้ามโชว์หุ่นลองชุดชั้นใน <div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiyUpR7xf__MequXER79rj7Paui8LeQ4MkCLOIVmCW0ooDpNwpfjLwgyeJNeynE1go3W2pdiMjbZeFFtMgF5K6hHpUfSdTn12vRHvjafZ03-H1fT6ppwjI_kXKPlNsXIsWxrYrvJRPskjM/s1600/pic13-018.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiyUpR7xf__MequXER79rj7Paui8LeQ4MkCLOIVmCW0ooDpNwpfjLwgyeJNeynE1go3W2pdiMjbZeFFtMgF5K6hHpUfSdTn12vRHvjafZ03-H1fT6ppwjI_kXKPlNsXIsWxrYrvJRPskjM/s1600/pic13-018.jpg" /></a></div>
โดย ASTVผู้จัดการ<br />
<br />
สภาท้องถิ่นนครมุมไบของอินเดีย อาจบังคับใช้กฎห้ามโชว์หุ่นจำลองมนุษย์ที่สวมใส่ชุดชั้นใน หรือ เสื้อผ้าที่เปิดเผยเรือนร่างจัดแสดงหน้าร้านค้า หวังลดอาชญากรรมทางเพศ โดยเมื่อเดือนที่แล้วข้อเสนอนี้ได้รับการรับรองโดยสภาท้องถิ่นมุมไบด้วยคะแนนท่วมท้น ซึ่งสมาชิกสภาเมืองหญิงที่เป็นผู้เสนอข้อบังคับนี้ให้เหตุผลว่า การนำหุ่นจำลองมนุษย์สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้น หรือชั้นใน มาจัดแสดงหน้าร้านดูเป็นการลดคุณค่าของผู้หญิง และอาจกระตุ้นความต้องการของผู้ชาย จนก่อเหตุรุนแรงทางเพศต่อผู้หญิงได้<br />
<br />
<a name='more'></a>นอกจากนี้ หุ่นโชว์ไม่เข้ากับวัฒนธรรมของอินเดีย แต่เจ้าของร้านสามารถโชว์หุ่นโชว์ภายในร้านได้ตามปกติ<br />
<br />
ขณะที่ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกในมุมไบ กล่าวว่า มาตรการนี้เป็นเรื่องไร้สาระ และจะไม่ช่วยลดปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิง เนื่องจากทุกวันนี้ยังมีสิ่งกระตุ้นมากมาย ทั้งหนังโป๊ ภาพยนตร์ ภาพเปลือยที่เข้าถึงได้ง่ายทางอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งการควบคุมการเข้าถึงภาพไม่เหมาะสมทางอินเทอร์เน็ต น่าจะช่วยแก้ปัญหาได้มากกว่า<br />
<br />
<b>ที่มา : </b><a href="http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000067281">http://www.manager.co.th/</a><br />
<br /></div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-81708913221727633662013-06-04T12:28:00.002+07:002013-06-04T12:28:30.724+07:00อินเดียชอบสินค้าไทยมั่นใจเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ แนะนักธุรกิจเปิดกว้าง<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqOPykOtcPx8cdPFl5GhZHZiTTnDqb-meSw13i8kLZLbQ78ElLr2YpMCqXo-rAIrkHjVWKNFcmrmzfoxaxqOtaaD46mK-fYXL_N40cByFeZpkEU7p-xZP_wtnFGkhJ3yBxy_hdkYvyiYQ/s1600/pic13-017.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqOPykOtcPx8cdPFl5GhZHZiTTnDqb-meSw13i8kLZLbQ78ElLr2YpMCqXo-rAIrkHjVWKNFcmrmzfoxaxqOtaaD46mK-fYXL_N40cByFeZpkEU7p-xZP_wtnFGkhJ3yBxy_hdkYvyiYQ/s1600/pic13-017.jpg" /></a></div>
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์<br />
<br />
ระนอง - อินเดียชื่นชอบสินค้าไทย อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายการพาณิชย์ ประจำกรุงนิวเดลี ย้ำนักธุรกิจระนองได้เปรียบการค้าขายชายแดนติดกับพม่า แนะต้องมองไกลต่อไปถึงอินเดีย<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJDbAGIfFGp7ZTMt3k1jmRPJjNsyX_tlkovjTy4oq3UBvpnZI0UNeMLiSCT67sQDc6Ml10KB89gwAO0xPcQtK1taMn6ubR65xGytt_p9_XsjISpmdttMSOFROEAu_WSr-J5Dk_epVRxuQ/s1600/556000006971501.JPEG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><br /><img border="0" height="298" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJDbAGIfFGp7ZTMt3k1jmRPJjNsyX_tlkovjTy4oq3UBvpnZI0UNeMLiSCT67sQDc6Ml10KB89gwAO0xPcQtK1taMn6ubR65xGytt_p9_XsjISpmdttMSOFROEAu_WSr-J5Dk_epVRxuQ/s400/556000006971501.JPEG" width="400" /></a></div>
<br />
นายธราดล ทองเรือง อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายการพาณิชย์ ประจำกรุงนิวเดลี เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้มีนโยบายให้ความสำคัญกับการรักษาตลาดเก่า และมองหาตลาดใหม่ และพยายามนำนักธุรกิจ SME ไปเจรจาพบปะกับผู้ค้ารายใหม่ และรายใหญ่ รวมถึงการหาวัตถุดิบผ่านโครงการ Proactive โดยทำงานร่วมกับสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และสภาผู้ขนส่งสินค้าทางเรือ หากผู้ประกอบการรายใดต้องการไปแสดงสินค้าประเทศไหน โดยทางกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะสนับสนุนเงินทุนเป็นค่าใช้จ่ายให้ด้วย<br />
<br />
ขณะนี้อินเดียต้องการสั่งซื้อยางแผ่นรมควันชั้น 3 จากเมืองไทยจำนวนมาก รวมถึงเฟอร์นิเจอร์จากไม้ยางพารา เครื่องสำอาง เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร ดอกไม้ประดิษฐ์ อินเดียนิยมใช้สินค้าไทยมาก และภูมิใจที่ได้ใช้สินค้าไทย เพราะเชื่อว่าเป็นสินค้าที่ได้มาตรฐาน และมีคุณภาพ ดังนั้น จึงอย่ามองข้ามตลาดอินเดีย การทำธุรกิจส่งออกกับอินเดียขอให้เลือกคู่ค้าดีๆ ลบค่านิยมเดิมๆ ทิ้งที่คนไทยมักจะคิดว่า การทำธุรกิจกับแขก หรืออินเดียอาจมีปัญหาตุกติก พร้อมยืนยันว่าลึกๆ แล้วคนอินเดียเป็นคนจิตใจดี<br />
<br />
นายธราดล กล่าวต่อไปว่า เมืองชายแดนที่ติดกับพม่า เช่น ระนอง ได้เปรียบมาก ระนองมีท่าเรือน้ำลึกควรปรับปรุง และพัฒนาเพื่อให้รองรับการส่งสินค้าไปขายยังต่างประเทศ นอกจากนี้ การขนส่งสินค้าทางบกสามารถส่งสินค้าไปขายเข้าทางมะริด เมาะละแหม่ง ย่างกุ้ง ไปบังกลาเทศ และกัลกัตตา เพราะพม่ามีแนวชายแดนติดกับอินเดียถึงเกือบ 2,000 กม. แม้ระนองจะเป็นจังหวัดเล็กๆ แต่เป็นจังหวัดที่สวย และสงบ มีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการส่งออกสินค้า หรือ Hub เพื่อเปิดประตูสู่ทะเลอันดามันฝั่งตะวันตก<br />
<br />
อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายการพาณิชย์ ประจำกรุงนิวเดลี ฝากมายังนักธุรกิจชาวระนองว่า ขอให้มองภาพการส่งออกในมุมกว้าง มองการค้าชายแดนอย่าหยุดที่พม่า ให้มองข้ามไปถึงอินเดีย และบังกลาเทศ มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนิเซีย ต่อไปการค้าขายจะไร้พรมแดนแล้ว การขนส่งสินค้า ระบบภาษีระบบตรวจสอบน้อยลง วันนี้ไม่ต้องรอท่าเรือน้ำลึกทวายก่อสร้างเสร็จ แต่ต้องปรับตัวรองรับการค้าเสรี AEC ตั้งแต่วันนี้ได้เลย<br />
<br />
<b>ที่มา : </b> <a href="http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9560000066641">http://www.manager.co.th/</a><br />
</div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-60493487725193452952013-06-04T05:00:00.000+07:002013-06-04T05:00:04.244+07:00บีร์เบิล (Birbal) หนึ่งในมณีนพเก้าแห่งราชสำนักพระเจ้าอักบาร์<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQxATHn7g2-RrCcr5ZKCxkfl_mbQFx3PPx8n0iGHaLLnXOUOH7l1Gr86gLRNHYO4yQEuaHyyOUY1o_OzWEKUZYpU_qxvfgAvBPlni65brqB1kKeH-3p0qZLopI4CKldnYysA8KO-EN3Mo/s1600/pic13-006.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQxATHn7g2-RrCcr5ZKCxkfl_mbQFx3PPx8n0iGHaLLnXOUOH7l1Gr86gLRNHYO4yQEuaHyyOUY1o_OzWEKUZYpU_qxvfgAvBPlni65brqB1kKeH-3p0qZLopI4CKldnYysA8KO-EN3Mo/s1600/pic13-006.jpg" /></a></div>
ตำนานพื้นบ้านระหว่างพระเจ้าอักบาร์และบีร์เบิล เป็นเรื่องเล่าขานยอดนิยมในหมู่เด็กๆ และผู้ใหญ่จำนวนมาก เพราะให้ทั้งความสนุกสนานเพลิดเพลิน ภูมิปัญญา และแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ชาญฉลาด สมกับเป็นหนึ่งในมณีน้ำงามทั้ง 9 แห่งราชสำนักพระเจ้าอักบาร์ ซึ่งเป็น กลุ่มนักปราชญ์ผู้ทรงภูมิปัญญาเหล่านี้ต่างก็รู้จักกันในนาม นวรัตนะ (Navaratna)<br />
<br />
<a name='more'></a>บีร์เบิล (Birbal) เป็นข้าราชสำนักหนึ่งในที่ปรึกษาของพระเจ้าอักบาร์ เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในด้านความฉลาดหลักแหลมและอารมณ์ขัน ซึ่งทำให้ บีร์เบิล ได้กลายเป็นพระสหายสนิทของพระเจ้าอักบาร์ เรื่องราวการสนทนาโต้ตอบกันระหว่างพระเจ้าอักบาร์และบีร์เบิลนั้นถูกบันทึกไว้ในเอกสารหลากหลายฉบับ มีหลายเรื่องในจำนวนนี้ที่ได้กลายเป็นนิทานพื้นบ้านของอินเดีย และเล่าขานสืบทอดต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน<br />
<br />
บีร์เบิล เกิดในปี ค.ศ. 1528 ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในรัฐมัธยประเทศ(ปัจจุบัน) นามเดิมชื่อว่า มเหชดาส (Mahesh Das) เป็นบุตรชายของพราหมณ์ผู้ยากจนมีนามว่า ตรีวิกรรมปุระ (Trivikrampur) หรือรู้จักกันในนาม ติกะวันปุระ (Tikavanpur) มีเรื่องราวเบื้องหลังมากมายที่ทำให้ มเหชดาส กลายมาเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาทั้งเก้าในราชสำนักของพระเจ้าอักบาร์ และได้ชื่อใหม่ว่า บีร์เบิล ผู้ซึ่งเป็นที่ปรึกษาเพียงคนเดียวที่นับถือศาสนาฮินดู ในขณะที่ส่วนใหญ่เป็นอิสลาม และเมื่อครั้งที่พระเจ้าอักบาร์ก็ทรงประกาศศาสนาใหม่ คือ ดินอิอิลาฮี (Din-i-Ilahi) บีร์เบิลก็เป็นหนึ่งในสาวกคนสำคัญในนั้นด้วย<br />
<br />
บีร์เบิล ยังเป็นทั้งกวีและนักเขียน งานเขียนของเขาตีพิมพ์ภายใต้นามปากกา พรหม (Brahma) ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ภารัตปุระ (Bharatpur Museum) ในรัฐราชสถาน ทางตะวันตกของอินเดีย กล่าวกันว่าบีร์เบิลเสียชีวิตลง ในปี ค.ศ. 1586 ระหว่างนำทัพไปรบในอัฟกานิสถาน ตำนานยังกล่าวด้วยว่าพระเจ้าอักบาร์ทรงเศร้าโศกโทรมนัสในพระทัยและทรงไว้อาลัยให้กับบีร์เบิลเป็นเวลานานหลายเดือน<br />
<br />
บีร์เบิล จึงเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่มีคนชื่นชอบมากที่สุดในนิทานพื้นบ้านอินเดีย ด้วยความฉลาดและไหวพริบของเขา ที่ให้ตัวอย่างและแนวทางการแก้ไขปัญหาที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในปัจจุบัน แม้ว่าเรื่องราวของบีร์เบิลจะผ่านมาหลายร้อยปีแล้วก็ตาม และเราจะทยอยนำเรื่องราวการแก้ปัญหาของเขามานำเสนอเป็นตอนๆ ต่อไป<br />
<br />
<b>ที่มา: </b>Seed-of-Hope <br />
<span class="Apple-style-span" style="color: #888888; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px;"><a href="http://indian-way-of-life.blogspot.com/2013/05/birbal.html">http://indian-way-of-life.blogspot.com/2013/05/birbal.html</a></span><br />
<br />
Information courtesy:<br />
<br />
http://www.bharatadesam.com/literature/stories_of_birbal/stories_of_birbal.php<br />
<br />
http://www.india-intro.com/index.php</div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-793214747898221502013-06-03T15:53:00.002+07:002013-06-03T15:54:23.217+07:00อินเดียเผชิญร้อนจัด พบเสียชีวิตแล้วกว่า 500 คน<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhzVRTq1-AUThN5qqxotMYHNRax48_M3lSHWsRefaus5lGVZgnEFJ6moAolRbKOst4I3ucLQ6PnB1TE99NPYETI5b24Njo2LmadZDqb8s8F5KoGRkBkN8qLB56mKxphyphenhyphen-7aucoweUSE08s/s1600/pic13-016.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhzVRTq1-AUThN5qqxotMYHNRax48_M3lSHWsRefaus5lGVZgnEFJ6moAolRbKOst4I3ucLQ6PnB1TE99NPYETI5b24Njo2LmadZDqb8s8F5KoGRkBkN8qLB56mKxphyphenhyphen-7aucoweUSE08s/s1600/pic13-016.jpg" /></a></div>
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์<br />
<br />
อินเดียกำลังเผชิญวิกฤตคลื่นความร้อนมานานกว่า 2 เดือน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 500 คนแล้ว โดยเฉพาะที่รัฐอานธรประเทศ ทางตอนใต้ของอินเดีย สถิติระหว่างเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2556 พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคลมแดด ซึ่งเกิดจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดแล้วรวม 520 คน อากาศที่ร้อนจัดนั้น บางวันวัดได้สูงสุดถึง 45 องศาเซลเซียส และคลื่นความร้อนได้ปกคลุมพื้นที่ตั้งแต่ตอนเหนือถึงตอนใต้ของอินเดีย<br />
<br />
<a name='more'></a>สถานการณ์ในบางพื้นที่ยังเลวร้ายลงเมื่อเกิดการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า จนทำให้เกิดไฟฟ้าดับบ่อยครั้ง ทำให้ไม่สามารถเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือพัดลมได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น เช่น ในกรุงนิวเดลี และเมืองใหญ่ต่างๆ<br />
<br />
เจ้าหน้าที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยาอินเดีย ระบุว่า สภาพอากาศที่ร้อนจัดเกิดจากลมร้อนที่ลอยมาจากพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ซึ่งเป็นทะเลทราย และคาดว่าอากาศที่ร้อนจัดนี้จะดำเนินต่อไปจนถึงฤดูมรสุม ซึ่งจะถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า<br />
<br />
<b>ที่มา :</b> <a href="http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000065845">http://www.manager.co.th/</a></div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-9256785031431234812013-05-31T05:00:00.000+07:002013-05-31T05:00:03.919+07:00อาหารอินเดีย – นาน (Naan)<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3yOgchwOnXHGmmEsvG4A48srctCBHCvaixOHqM5teKAO5jxovgYMBYvR8H64ROYcEb4EnHhIv6kIEjdz8Zpyc-dlJ-iqqO0tmOmp0m7CEON4vFHv_67kUAr1vsY3ktWzuDNqjE1QIQMY/s1600/pic13-005.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3yOgchwOnXHGmmEsvG4A48srctCBHCvaixOHqM5teKAO5jxovgYMBYvR8H64ROYcEb4EnHhIv6kIEjdz8Zpyc-dlJ-iqqO0tmOmp0m7CEON4vFHv_67kUAr1vsY3ktWzuDNqjE1QIQMY/s1600/pic13-005.jpg" /></a></div>
นาน (Naan) อาหารประเภทแป้งที่ใช้รับประทานร่วมกับอาหารจานหลักอื่นๆ เป็นประเภทเดียวกับโรตีและจาปาตี แตกต่างกันที่แป้งและวิธีการทำนิดหน่อย คนอินเดียรับประทานอาหารจำพวกแป้งเหล่านี้เป็นหลัก เช่นเดียวกับที่เรารับประทานข้าวกับอาหารอื่นๆ<br />
<br />
<a name='more'></a>ดั้งเดิมนั้นนานทำมาจากแป้งที่อบในเตาแทนดอรี เตาแบบเดียวกับที่ใช้อบไก่แทนดอรี แต่ก็สามารถใช้เตา หรือเตาอบธรรมดาในบ้านได้เช่นกัน โดยเฉพาะถ้าได้รับประทานร้อนๆ คู่กับไก่แทนดอรี หรือไก่กะบั๊บแล้วละก็อร่อยน่าดู และก็ยังสามารถรับประทานได้กับแกงแขกทุกแบบ<br />
<br />
กล่าวกันว่าพวกโมกุลได้นำนานเข้ามาเผยแพร่ในอินเดียเมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมา ในช่วงที่ราชวงศ์โมกุลปกครองอินเดีย ซึ่งชาวโมกุลนั้นมาจากเปอร์เชีย ดังนั้นศัพท์คำว่า “นาน” (Naan) จึงมาจากภาษาเปอร์เชีย และปัจจุบันนานก็แทบจะเป็นหนึ่งในอาหารหลักที่รับประทานกันทุกภูมิภาคในอินเดีย<br />
<br />
วัตถุดิบหลักในการทำนาน ได้แก่ แป้งสาลี โยเกิร์ต และยีสต์ และอาจผสมส่วนประกอบอื่นๆ เพิ่มเข้าไปตามต้องการได้ด้วย หรือ โรยหน้าด้วยเนยขูดฝอย หรือกระเทียมสับ หรือเนื้อสับที่เรียกว่า คีมา<br />
<br />
วิธีการทำนานขั้นแรกต้องผสมแป้ง กับน้ำและยีสต์ก่อน นวดให้เข้ากันดี แล้วหมักทิ้งไว้ให้แป้งขึ้นฟูสักสองสามชั่วโมง ก่อนที่จะผสมส่วนผสมอื่นๆ ตามมาทีหลัง จากนั้นก็แผ่แป้งให้เป็นแผ่นแบนก่อนนำไปอบในเตาอบ จะเห็นได้ว่าวิธีการทำไม่ยากอะไร แต่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร<br />
<br />
อย่างไรก็ตามนานก็ยังแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท เช่น นานเปล่าๆ (plain naan) นานใส่กระเทียม (garlic naan) นานคีมา ( keema naan) ที่ผสมเนื้อสัตว์เช่น แกะ สับลงไปด้วย และ เปชวารีนาน (peshwari naan) นานที่ผสมผลไม้แห้งลงไปด้วย เช่น ลูกเกด เกาลัด เป็นต้น<br />
<br />
<b>ที่มา: </b>Seed-of-Hope<br />
<span class="Apple-style-span" style="color: #888888; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px;"><a href="http://indian-way-of-life.blogspot.com/2013/05/naan.html">http://indian-way-of-life.blogspot.com/2013/05/naan.html</a></span><br />
<br />
ดูวีดิโอวิธีทำนานแบบง่ายๆ ได้ที่นี่<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<object class="BLOGGER-youtube-video" classid="clsid:D27CDB6E-AE6D-11cf-96B8-444553540000" codebase="http://download.macromedia.com/pub/shockwave/cabs/flash/swflash.cab#version=6,0,40,0" data-thumbnail-src="http://img.youtube.com/vi/0qbCigxf_sc/0.jpg" height="266" width="320"><param name="movie" value="http://youtube.googleapis.com/v/0qbCigxf_sc&source=uds" /><param name="bgcolor" value="#FFFFFF" /><param name="allowFullScreen" value="true" /><embed width="320" height="266" src="http://youtube.googleapis.com/v/0qbCigxf_sc&source=uds" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true"></embed></object></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<i>(from Indian food cooking, Vahchef’s Channel)</i></div>
<br />
<br /></div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-37135166029225483302013-05-30T21:11:00.001+07:002013-05-30T21:12:47.975+07:00ชวนชาวไทยบริจาคทองหุ้มยอดเจดีย์พุทธคยา-อินเดีย<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgXaC6m0W3rSmppp1uUlfjgytOXLdgIghjw2Lm9FErC3BBDSXf0RZ5gC96LksZYdP_it30oFz7B0UVMspfcM8_7g0vL5rKmLoiq2_KRiJ6TnA2mWTBGdT3lCHZM8ugS4oNFpJlFOU38noE/s1600/pic13-012.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgXaC6m0W3rSmppp1uUlfjgytOXLdgIghjw2Lm9FErC3BBDSXf0RZ5gC96LksZYdP_it30oFz7B0UVMspfcM8_7g0vL5rKmLoiq2_KRiJ6TnA2mWTBGdT3lCHZM8ugS4oNFpJlFOU38noE/s1600/pic13-012.jpg" /></a></div>
โดย เนชั่นแชนแนล<br />
<br />
ที่วัดบวรนิเวศวิหาร คณะกรรมการโครงการหุ้มทองคำยอดฉัตร พระมหาโพธิเจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย จัดแถลงข่าวถึงความคืบหน้าการรับบริจาคทองคำ โดยมีศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ในฐานะประธานอำนวยการโครงการหุ้มทองคำฯ นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรรส นายเผ่า สุวรรณศักดิ์ศรี ศิลปินแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้<br />
<br />
<a name='more'></a>ศ.ดร.บวรศักดิ์ กล่าวว่า ตามที่สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเจริญพระชันษา 100 ปี ทรงมีพระกรุณาธิคุณในการประทานทองคำจำนวน 119 บาท เพื่อสมทบทุนในโครงการหุ้มทองคำยอดฉัตร พระมหาโพธิเจดีย์พุทธคยาถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในโอกาสฉลอง2600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น ในวันนี้ คณะกรรมการ จะนำทองคำดังกล่าวถวายแด่สมเด็จพระวันรัต ประธานโครงการหุ้มทองคำยอดฉัตรฯ ซึ่งได้เปิดให้พุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่าได้มาร่วมบริจาคทองคำตามกำลังศรัทธาที่บริเวณพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหารด้วย นอกจากนี้ คณะกรรมการเห็นว่า จะไปจัดพิธีรับบริจาคทองคำตามภูมิภาคต่างๆ โดยวันที่ 15 มิถุนายน รับบริจาคที่จ.เชียงใหม่ ณ อุทยานหลวงราชพฤกษ์จากนั้นจะในเดือนกรกฎาคม ไปที่จ.อุดรธานี หรืออุบลราชธานี ส่วนในเดือนสิงหาคม ไปที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา<br />
<br />
ศ.ดร.บวรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนประชาชนที่อยากจะบริจาคเป็นเงินสดสามารถบริจาคผ่านธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารออมสิน ภายใต้โครงการดังกล่าว สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยและระบบการรับบริจาคนั้น เรามีการดูแลอย่างเข้มงวด ขณะที่การรับบริจาคเราเน้นความโปร่งใส โดยให้ประชาชาชนมาบริจาคตรงที่สมเด็จพระวันรัตวัดบวรนิเวศวิหาร หรือที่อาคารพระนางเจ้ารำไพพรรณีชั้น 5 พิพิธภัณฑ์พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนเงินให้บริจาคผ่านธนาคารจะดีที่สุดเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของผู้ที่ไม่หวังดีได้ อย่างไรก็ตาม ตั้งเป้าหมายของยอดบริจาคทองคำไว้ที่ 250 กิโลกรัม<br />
<br />
นายเผ่า สุวรรณศักดิ์ศรี ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ สาขาสถาปัตยกรรมไทยในฐานะผู้กำกับการดำเนินงานด้านช่าง กล่าวว่า คณะกรรมการฯได้ดำเนินการขออนุญาตคณะกรรมการมรดกโลกในการปรับปรุงยอดฉัตรเจดีย์พุทธคยา ซึ่งคณะกรรมการมรดก ก็มีมติอนุญาตให้ดำเนินการได้แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องทำให้เสร็จก่อนช่วงเทศกาลแสวงบุญในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป เนื่องจากมีพุทธศาสนิกชนมาสักการะพุทธคยาเป็นจำนวนมาก ส่วนขณะนี้ ตนได้มอบหมายให้วิทยาลัยในวังชาย ดำเนินการจำลองแบบยอดฉัตร เพื่อดำเนินขึ้นแบบแผ่นทองเพื่อนำไปหุ้มยอดฉัตรจริงที่พุทธคยาแทนของเก่าที่เป็นทองเหลืองซึ่งแผ่นที่หุ้มจะแบ่งเป็น 2 ขนาด 0.3 มิลลิเมตร และ 0.5 มิลลิเมตร<br />
<br />
<b>ที่มา :</b> <a href="http://breakingnews.nationchannel.com/home/read.php?newsid=683402">http://breakingnews.nationchannel.com/</a><br />
<br /></div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-45812086801507860592013-05-30T20:39:00.002+07:002013-05-30T20:41:39.077+07:00นายกฯอินเดียถวายหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์ในหลวง<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_30gBthgQByWkE8nB6w8ZG83a9w_00IyXxlEgbowX8RFKV_pjfW-MQai33TM-EF1-S60cqfgofMUw_amVxq_kvIN8GWRCYHaXjqwSJu0dyyx4foP8AbIBkIETc9mK-mg_eQfspaZVxzo/s1600/pic13-011.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_30gBthgQByWkE8nB6w8ZG83a9w_00IyXxlEgbowX8RFKV_pjfW-MQai33TM-EF1-S60cqfgofMUw_amVxq_kvIN8GWRCYHaXjqwSJu0dyyx4foP8AbIBkIETc9mK-mg_eQfspaZVxzo/s1600/pic13-011.jpg" /></a></div>
โดย กรุงเทพธุรกิจออนไลน์<br />
<br />
นายกฯอินเดีย มอบหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์จากวัดไทยพุทธคยา ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านรัฐบาลเพื่อนำทูลเกล้าฯ<br />
<br />
<a name='more'></a>เมื่อเวลา 17.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้อนรับ นายมันโมฮัน สิงห์ นายกรัฐมนตรีอินเดียและภริยา ที่เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการวันที่ 30-31 พ.ค. จากนั้นนายกรัฐมนตรี 2 ประเทศเดินตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ โอกาสนี้ นายกฯอินเดีย ได้นำหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์ จากวัดไทยพุทธคยา ต.พุทธคยา อ.คยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นต้นไม้สำคัญในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นต้นไม้ที่ประทับและตรัสรู้สัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้า ถือเป็นสิ่งที่มีค่าและศักดิ์ของชาวพุทธ มาถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านรัฐบาลไทยเพื่อนำทูลเกล้าทูลกระหม่อมต่อไป ก่อนเข้าร่วมหารือทวิภาคีนายกรัฐมนตรีไทยครั้งแรกอย่างเป็นทางการและหารือข้อราชการเต็มคณะ เพื่อสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทย-อินเดียครบรอบ 66 ปี<br />
<br />
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการหารือ นายกฯอินเดียและนายกฯไทยร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงอาทิ การให้สัตยาบันสนธิสัญญาระหว่างไทยกับอินเดียว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ที่กำหนดเงื่อนไขและขั้นตอนในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน 10 ข้อ จะบังคับในวันที่มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารทันที<br />
<br />
จากนั้น นายกรัฐมนตรี 2 ประเทศได้แถลงข่าวร่วมกัน เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ ความร่วมมือและความมุ่งมั่นของ 2 รัฐบาลในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกัน เช่น ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ด้านความเชื่อมโยง ด้านความมั่นคงและการทหาร ด้านวัฒนธรรม การศึกษาและการแลกเปลี่ยนระดับประชาชน ด้านความร่วมมือในกรอบภูมิภาคและพหุภาคี<br />
<br />
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติให้กับ่นายกรัฐมนตรีอินเดียและคณะในช่วงค่ำวันนี้อย่างเป็นทางการ โดย นายกรัฐมนตรีอินเดียและคณะ จะเดินทางออกจากประเทศไทยในวันที่ 31 พ.ค.นี้<br />
<br />
<b>ที่มา :</b> <a href="http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics/20130530/508463/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%AF%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87.html">http://www.bangkokbiznews.com/h</a><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEik8I6z9Rob-qghSTV37OfQYH-V9AJlNgrU51byUiv8DVy7aJqkN13ddH88fVfkL1r2JS-YW-v72VLk0yOsLEDJJJ38gOWrzus679M2Ym-eqiwrKaqjgpT3UhWIDpYPwhhKl_PkxagHRLs/s1600/sri-mahapho-tree.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="300" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEik8I6z9Rob-qghSTV37OfQYH-V9AJlNgrU51byUiv8DVy7aJqkN13ddH88fVfkL1r2JS-YW-v72VLk0yOsLEDJJJ38gOWrzus679M2Ym-eqiwrKaqjgpT3UhWIDpYPwhhKl_PkxagHRLs/s400/sri-mahapho-tree.jpg" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
(Source: <a href="http://www.thai-tour.com/thai-tour/central/prachinburi/image/large-pic/sri-mahapho-tree.jpg">http://www.thai-tour.com/</a>)</div>
</div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-14783246447287696482013-05-30T20:29:00.000+07:002013-05-30T20:29:20.285+07:00นายกฯอินเดียบุกไทยปูทางสยายปีกเออีซี<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjcwRh3MBMLG0yhd9xs_Ph0ibJxYk6oEkFSLyaE8NXBUHAqEXuIKoqPRQJw3uViYvUlAxqEGu8tXmx2ek22PU4KRPIZGocb12loljygDn0MFGNl42D9bNqorwVnVr1AGOMySTDHb8hjrHA/s1600/pic13-010.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjcwRh3MBMLG0yhd9xs_Ph0ibJxYk6oEkFSLyaE8NXBUHAqEXuIKoqPRQJw3uViYvUlAxqEGu8tXmx2ek22PU4KRPIZGocb12loljygDn0MFGNl42D9bNqorwVnVr1AGOMySTDHb8hjrHA/s1600/pic13-010.jpg" /></a></div>
โดย กรุงเทพธุรกิจออนไลน์<br />
<br />
นายกฯอินเดียเยือนไทยปูทางสยายปีกเออีซี เตรียมสร้างถนนสามฝ่าย"ไทย-เมียนมาร์-อินเดีย" เชื่อมโยงอินเดีย-ทวาย ในอนาคต<br />
<br />
<a name='more'></a>นายมานโมฮัน ซิงห์ นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย มีกำหนดเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล ระหว่างวันที่ ๓๐ - ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามคำเชิญของน.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยการเยือนครั้งนี้ เป็นการเยือนประเทศไทยในระดับทวิภาคีอย่างเป็นทางการครั้งแรกของ นายมันโมฮัน สิงห์ นายกรัฐมนตรีอินเดีย<br />
<br />
รัฐบาลไทยจะจัดพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการในวันนี้ ( ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖) ณ ทำเนียบรัฐบาล และ จะมีการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีสองฝ่ายเพื่อสานต่อความร่วมมือที่ผู้นำทั้งสองประเทศได้ประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันเมื่อเดือนมกราคม ๒๕๕๕ ที่จะยกระดับความสัมพันธ์ไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) ระหว่างกัน บนพื้นฐานของหลักประชาธิปไตย การเคารพสิทธิมนุษยชน และผลประโยชน์ร่วมในการส่งเสริมการเจริญเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืน<br />
<br />
การแลกเปลี่ยนการเยือนแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับอินเดีย ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี โดยเฉพาะการสะท้อนถึงนโยบาย “มองตะวันตก” (Look West) ของไทยที่มุ่งเน้นการกระชับความร่วมมือกับอินเดียและเอเชียใต้ และนโยบาย “มองตะวันออก” (Look East) ของอินเดียที่ต้องการกระชับความร่วมมือกับไทยและอาเซียน โดยเฉพาะการมุ่งเสริมสร้างความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน และการเชื่อมโยง (connectivity) ด้วยการเชื่อมโยงระหว่างไทยและอินเดียกับอาเซียนแบบรอบด้าน ทั้งทางบก เรือ และอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างถนนสามฝ่าย ไทย-เมียนมาร์-อินเดีย และการเชื่อมโยงอินเดียกับท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรม ที่เมืองทวาย ในอนาคต<br />
<br />
ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ และของภูมิภาคโดยรวม ความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศจะเป็นประโยชน์ต่อความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระดับสากล ในประเด็นที่มีผลประโยชน์ร่วม รวมถึงประเด็นความมั่นคงด้านอาหารและพลังงานเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไม่ว่าในกรอบองค์การสหประชาชาติ กรอบพหุภาคี และกรอบภูมิภาค<br />
<br />
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีอินเดียและคณะในเย็นวันเดียวกัน โดยทางนายกรัฐมนตรีอินเดียและคณะจะเดินทางออกจากประเทศไทยในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖<br />
<br />
ปัจจุบัน ไทย และอินเดีย ได้มีการจัดทำความตกลงทวิภาคี ไทยและอินเดียมีการจัดทำความตกลงเพื่อขยาย ความร่วมมือระหว่างกันในหลากหลายสาขา สำหรับปัจจุบัน มีความตกลง และบันทึกความเข้าใจต่างๆ ซึ่งได้ลงนามแล้ว ทั้งหมด จำนวน 29 ฉบับ และอยู่ระหว่างการเจรจา/ปรับปรุงแก้ไข อีก 10 ฉบับ<br />
<br />
นอกจากนี้ ไทยและอินเดียให้ความสำคัญกับความร่วมมือระดับภูมิภาค และเป็นสมาชิกกรอบ ความร่วมมือพหุภาคีระหว่างกัน หลายกรอบ ที่สำคัญ อาทิเช่น East Asia Summit : EAS / ASEAN Reginal Forum : ARF / BIMSTEC / Mekong - Ganga Cooperation : MGC / India Ocean Rim Association for Regional Cooperation IOR-ARC / World Trade Organization : WTO / และองค์การสหประชาชาติ : UN ซึ่งในระหว่างการเยือนอินเดียของนายกรัฐมนตรีไทย เมื่อ 24-26 มกราคม 2012 ทั้งสองฝ่าย เห็นพ้องที่จะจัดตั้งคณะทำงานร่วมว่าด้วยการเชื่อมโยงและโครงสร้างพื้นฐาน (Working Group on Connectivity and Infrastructure) เพื่อผลักดันความร่วมมือดังกล่าวให้มีผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะ การเชื่อมโยงในกรอบอนุภูมิภาค East West Economic Corridor : EWEC / Greater Mekong Sub-region : GMS<br />
<br />
นอกจากนี้ ในการเยือนอินเดีย ดังกล่าว นายกรัฐมนตรีของ ไทยได้ประกาศสนับสนุนโครงการฟื้นฟูมหาวิทยาลัยนาลันทา (Nalanda University) ในรัฐพิหาร เป็นจำนวนเงิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ และได้แจ้งให้ภาคเอกชนไทยร่วมพิจารณาให้การสนับสนุน ตามความสมัครใจ โดยไทยประสงค์ที่จะขยายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งกำหนดจะเปิดการเรียนการสอน ในปี 2014 ต่อไป<br />
<br />
ที่มา : <a href="http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20130530/508376/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%AF%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%8B%E0%B8%B5.html">http://www.bangkokbiznews.com/</a><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjS4J-gI6uNjEfnLnsaV-SQXxai8AalPJMDdNNg7vqq8RUKogjQ71jRHWLWKYIf962toIsE9W_R-jZO4w5DtsVR4xnHrswYezMux_nyIQ4de1-m6LdwfNjlMPus79EDvfzpAY0FjlLYotc/s1600/news_img_508376_1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="301" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjS4J-gI6uNjEfnLnsaV-SQXxai8AalPJMDdNNg7vqq8RUKogjQ71jRHWLWKYIf962toIsE9W_R-jZO4w5DtsVR4xnHrswYezMux_nyIQ4de1-m6LdwfNjlMPus79EDvfzpAY0FjlLYotc/s400/news_img_508376_1.jpg" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br /></div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1760621072857268457.post-17015979720181215322013-05-30T09:47:00.000+07:002013-05-30T09:47:00.349+07:00คุณหมอฮีโร่ สายใยเชื่อมจีน-อินเดีย : คอลัมน์เวิลด์วาไรตี้เสาร์ <div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEik0oaBJ68lkHmy3h7_xACMTkzgJ3-3cxzBcwTyNWI8piI5puZKd1k9f_zRtOVmU6jnSZt7tlNStfVyYVfh-4N8_PW_bAmRJXIYFVz29QAzIzWF4O2WHXsY_AEOPSVxPaLP7FchAmgmuqE/s1600/pic13-004.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEik0oaBJ68lkHmy3h7_xACMTkzgJ3-3cxzBcwTyNWI8piI5puZKd1k9f_zRtOVmU6jnSZt7tlNStfVyYVfh-4N8_PW_bAmRJXIYFVz29QAzIzWF4O2WHXsY_AEOPSVxPaLP7FchAmgmuqE/s1600/pic13-004.jpg" /></a></div>
โดย คมชัดลึกออนไลน์<br />
<br />
ไม่ว่าผู้นำจีนท่านใดเมื่อได้ไปเยือนอินเดียแล้ว หนึ่งในตารางภารกิจที่ขาดไม่ได้คือ การพบปะครอบครัวของ คุณหมอทวาร์คานาถ ชันทาราม ค็อตนิส ผู้ที่จีนนับถือว่าคือผู้มีบุญคุณในยามยาก<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjT0tSd1C9FwfjKgqnblpp2xj473jAWdb2MErvYL-1R2eAPJ8_ebYifQ64R0bPFcjrZaimf7gPuHdZ6wCenoqGvCWhYD2BmNNBC0GMWO-dgS-Vq7dzHjHIx9XMQksmNZ-jP3x2yavUfCQc/s1600/i9f6e8868bkcjbfj6ihid.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="207" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjT0tSd1C9FwfjKgqnblpp2xj473jAWdb2MErvYL-1R2eAPJ8_ebYifQ64R0bPFcjrZaimf7gPuHdZ6wCenoqGvCWhYD2BmNNBC0GMWO-dgS-Vq7dzHjHIx9XMQksmNZ-jP3x2yavUfCQc/s400/i9f6e8868bkcjbfj6ihid.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
หมอค็อตนิสเป็นหนึ่งในหมออินเดีย 5 คนที่ถูกส่งไปจีนในปี 2481 ขณะที่จีนกำลังทำสงครามต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นช่วงปี 2480-2488 และได้ช่วยชีวิตทหารจีนไว้เป็นจำนวนมาก เดิมหมอค็อตนิสมีกำหนดอยู่จีนปีเดียว แต่กลับอยู่ยาว 4 ปี ระหว่างนั้น เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์<br />
<br />
พบรักและแต่งงานกับกั๊วะ ฉิงหลาน พยาบาลชาวจีน แต่ต่อมาล้มป่วยด้วยโรคลมชักและเสียชีวิตในวัยเพียง 32 ปี ส่วนภรรยาของเขาเพิ่งเสียชีวิตเมื่อปีที่แล้วที่เมืองต้าเหลียน<br />
<br />
นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน สานต่อธรรมเนียมเดียวกันนี้ โดยได้พบปะกับ มาโนรามา ค็อตนิส น้องสาววัย 92 ปีและเป็นพี่น้องเพียงคนเดียวใน 7 คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่โรงแรมทาชมาฮาล ในนครมุมไบ ระหว่างเยือนอินเดียสัปดาห์ที่ผ่านมา<br />
<br />
นางค็อตนิส เคยพบกับผู้นำจีนมาก่อนแล้วถึง 3 คน รู้สึกภูมิใจและปลาบปลื้มที่น้องชายยังเป็นที่จดจำและรักใคร่ของชาวจีน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด <br />
<br />
ในอินเดีย หมอค็อตนิสไม่ใช่บุคคลที่เป็นที่รู้จักมากนัก แม้เรื่องราวเคยถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2489 และยังอ้างอิงถึงในแบบเรียน<br />
<br />
แต่ในแดนมังกร หมอค็อตนิสยังคงได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษตราบจนปัจจุบัน จีนจัดพิมพ์แสตมป์เพื่อเป็นเกียรติ และมีอนุสรณ์รำลึกถึงในมณฑลเหอเป่ย นอกจากนี้ เมื่อปี 2552 หมอชาวภารตท่านนี้ยังได้รับการโหวตทางอินเทอร์เน็ต เป็นหนึ่งในมหามิตรต่างชาติ 10 ท่านแห่งศตวรรษของจีนอีกด้วย<br />
<br />
การไปเยี่ยมเยือนครอบครัวหมอค็อตนิสของผู้นำจีนนับจากปี 2493 ยังมีนัยสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างกัน เป็นการปลุกความทรงจำดีๆก่อนจะกลายเป็นสองยักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย ว่าครั้งหนึ่ง ทั้งสองต่างก็เคยดิ้นรนต่อสู้กับลัทธิอาณานิคมกันมาอย่างยาวนาน ก่อนจะมาบาดหมางกันเพราะกรณีพิพาทดินแดนจนลามเป็นสงครามเต็มรูปในปี 2505 และทำให้ความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นนับจากนั้นมา<br />
<br />
....................................................<br />
(คุณหมอฮีโร่ สายใยเชื่อมจีน-อินเดีย : คอลัมน์เวิลด์วาไรตี้เสาร์)<br />
ที่มา : <a href="http://www.komchadluek.net/detail/20130525/159302/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%AE%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2.html">http://www.komchadluek.net/</a></div>
Unknownnoreply@blogger.com0